สถิติ
เปิดเมื่อ21/09/2014
อัพเดท11/07/2015
ผู้เข้าชม1714876
แสดงหน้า2191127
บทความ
ประวัติ นายประพันธ์ เวารัมย์ (เจ้าของเว็บไซต์)
ประวัตินายประพันธ์ เวารัมย์ เจ้าของเว็บไซต์ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
ข้อมูลเตรียมสอบปลัดอำเภอ
้ข้อมูลเตรียมสอบปลัด 2
แนวข้อสอบปลัดอำเภอ
คู่มือการดูแลรักษาและคุ้มครองที่สาธารณประโยชน์
เจ้าของเว็บไซต์
โครงสร้างเตรียมสอบปลัดอำเภอ ข้อสอบที่เคยออกปี 2548 และปี 51-55 (สำหรับผู้ใฝ่ฝัน เป็นปลัดอำเภอ)
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
ตู้หนังสือ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
คู่มือปฏิบัติงานกองอาสารักษาดินแดน
วันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
​หนังสือคู่มือการทะเบียนราษฎร
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
หนังสือสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับท้องถิ่น
ท้องถิ่นกำลังจะแก้ไขหลักเกณฑ์การสอบใหม่
เรื่องทั่้วไป
เว็บไซต์กระทรวงต่างๆ 20 กระทรวง
แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
ยังจำท่านได้ดี ท่านสิริรัฐ (สถาพร) ชุมอุปการ (นายอำเภอประโคนชัย ปี 2547)
สวัสดีวันพุธ ที่ 24 เดือน กันยายน พ.ศ. 2557 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ เนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 2)
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 1)
หนังสือปฏิบัติงานกรมการปกครอง
คู่มือการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการปกครอง ของปลัดอำเภอ
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 5
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 4
รวมกฎหมายปกครองเล่ม 3
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 1
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 2
ปฎิทิน
April 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
  
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
   




สรุปวิชา Plan C การบริหารรัฐกิจ

สรุปวิชา Plan C การบริหารรัฐกิจ
อ้างอิง อ่าน 628 ครั้ง / ตอบ 0 ครั้ง

ประพันธ์ เวารัมย์
สรุปวิชา Plan C การบริหารรัฐกิจ
    
    ประเด็นที่ต้องเตรียม
    1.พัฒนาการของแนวคิดในการบริหารรัฐกิจ
    2.แนวคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
    3.ทฤษฎีองค์การ 3 ยุค
    4.กระบวนการนโยบายสาธารณะ 3 กระบวนการ พร้อมทั้งตัวแบบในการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะทั้ง 3 กระบวนการ 
    1.พัฒนาการของแนวคิดการบริหารรัฐกิจ
    ในภาพรวมแนวคิดการบริหารรัฐกิจจะมีพัฒนาการดังรูป
                    
พาราไดม์ 1-5




กล่าวคือแนวคิดทางการบริหารรัฐกิจสามารถแบ่งออกเป็นพาราไดม์ได้ 5 พาราไดม์ จากนั้นในปัจจุบันนี้พาราไดมที่ 5 ได้พัฒนาเข้ามาสู่ New PA. และพัฒนาต่อมาในปัจจุบันเป็น NPM และการบริหารจัดการที่ดี (Good Govermamve) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ครอบงำวงการบริหารในปัจจุบัน
    สรุปสาระสำคัญของแต่ละช่วงของแนวคิด
    พาราไดม์ในการบริหารรัฐกิจ
  นิโคลัส เฮนรี่ ที่แบ่งพาราไดม์การบริหารรัฐกิจออกเป็น 5 พาราไดม์คือ
    พาราไดม์ที่ 1 การแยกการเมืองและการบริหารแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด พาราไดม์นี้เกิดจากแนวคิดของวูดโรว์ วินสัน ที่ต้องการให้แยกการเมืองออกจากการบริหารอย่างเด็ดขาด โดยให้ฝ่ายการเมืองทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและฝ่ายบริหารทำหน้าที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
    พาราไดม์ที่ 2 หลักการบริหาร พาราไดม์นี้พิจารณาว่าการจะมีการบริหารงานที่ดี เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและการประหยัดนั้นจะต้องมีหลักการในการบริหารที่มีการกำหนดขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นในช่วงพาราไดม์นี้นักวิชาการจึงมีการนำเสนอหลักเกณฑ์ในการบริหารงานขึ้นมา โดยมุ่งจะให้หลักเกณฑ์เหล่านี้นำมาซึ่งประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดความประหยัดในการบริหารงาน
    หลักการบริหารที่ถูกนำเสนอในช่วงพาราไดม์นี้เช่น หลักการ POSCORB ของกุลลิคและเออร์วิค หลักการ POCCC ของเฮนรี่ฟาโย
    พาราไดม์ที่ 3 การเมืองคือการบริหาร เป็นพาราไดม์ที่คัดค้านพาราไดม์ที่ 1 โดยมองว่าการบริหารคือการเมือง และชี้ให้เห็นว่าการแยกการเมืองออกจากการบริหารนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
    พาราไดม์ที่ 4 ศาสตร์การบริหาร เป็นพาราไดม์ที่คัดค้านพาราไดม์ที่ 2 นั่นคือบอกว่าหลักในการบริหารที่พาราไดม์ที่ 2 นำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะหลักในการบริหารเป็นเพียงสุภาษิตทางการบริหารเท่านั้น พาราไดม์ที่ 4 จึงเสนอว่าการบริหารรัฐกิจนั้นคือศาสตร์แห่งการบริหาร
    ในช่วง 4 พาราไดม์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาการบริหารรัฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในแง่ของการยอมรับ การรับรู้ และจุดสนใจในการบริหาร ทำให้ดูเหมือนว่าการศึกษาวิชาการบริหารรัฐกิจนั้นขาดความเป็นเอกลักษณ์ในตัวของมันเองทำให้ในพาราไดม์ที่ 5 จึงมีความพยายามที่จะค้นหาเอกลักษณ์ของวิชาการบริหารรัฐกิจ
    พาราไดม์ที่ 5 การบริหารรัฐกิจคือการบริหารรัฐกิจ พาราไดม์นี้มุ่งหวังที่จะให้วิชาการบริหารรัฐกิจมีเอกลักษณ์ของตนเอง และมุ่งหวังให้วิชาการบริหารรัฐกิจมีลักษณะที่สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เป็นอยู่ในเวลานั้นๆ 
    เราจะเห็นว่าพาราไดม์หรือกระบวนทัศน์ของการบริหารรัฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่มีการยอมรับพาราไดม์ใดพาราไดม์หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งๆ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราเรียกการยอมรับตรงนี้ว่าภาวะปกติหรือ Normal Science แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในพาราไดม์เราจะเรียกว่า Paradigm Crisis หรือการเกิดวิกฤติการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ หรือตำราบางเล่มอาจจะใช้คำว่า Sciencetific Revolution นั่นคือเกิดความคิด หรือเกิดการคัดค้านการยอมรับในพาราไดม์เดิมว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีกต่อไป
    วิกฤติการณ์ด้านเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่การเกิดพาราไดม์ใหม่ถ้าสามารถทำให้การคัดค้าน หรือการนำเสนอประเด็นใหม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
    ซึ่งทั้ง 5 พาราไดม์ที่นำเสนอโดยนิโคลัส เฮนรี่นั้น จะพบว่าได้เกิดวิกฤติการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ 2 ครั้งด้วยกันคือ
    วิกฤติการณ์ด้านเอกลักษณ์ครั้งที่ 1 เป็นการคัดค้าน พาราไดม์ที่ 1 และพาราไดม์ ที่ 2  เป็นการคัดค้านว่าการเมืองไม่สามารถแยกออกจากการบริหารได้ และการคัดค้านพาราไดม์ ที่ 2 ว่าในการบริหารงานภาครัฐนั้นไม่สามารถมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการบริหารได้อย่างเป็นสากล
    วิกฤติการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ครั้งที่ 1 นี้นำไปสู่การเกิดพาราไดม์ที่ 3 คือการบริหารคือการเมือง และเกิดพาราไดม์ที่ 4 คือศาสตร์แห่งการบริหาร
    วิกฤติการณ์ทางด้านเอกลักษณ์ครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่การศึกษาการบริหารรัฐกิจได้รับอิทธิพลจากการศึกษาด้านพฤติกรรมศาสตร์ จึงทำให้เกิดการประชุมร่วมกันระหว่างนักวิชาการสมัยใหม่ร่วมกันประมาณปี 1968 และนำเสนอแนวคิดที่เรียกว่า New Public Administration หรือ  New PA. ขึ้นมา และเป็นแนวคิดที่นำไปสู่การเกิดพาราไดม์ที่ 5 ขึ้นมา
แนวคิดแบบ New PA. นั้นเป็นแนวคิดที่มุ่งหวังให้วิชาการต่างๆทางด้านบริหารรัฐกิจเป็นวิชาที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคมมากขึ้น 
หลักการของ New PA. ที่สำคัญๆคือ
-การคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในการบริหาร 
-การยึดถือความเท่าเทียมกันและความเสมอภาคในการได้รับบริการจากรัฐของประชาชน 
-รวมทั้งหลักการของการมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจในการบริหารงาน
แนวคิดการบริหารงานสมัยใหม่
1.การจัดการภาครัฐแนวใหม่ New Public Management (NPM) สาเหตุที่สำคัญในการทำให้แนวคิดในการบริหารงานภาครัฐปรับจาก New PA.มาเป็น NPM เนื่องจาก
1.อิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ทำให้แต่ละประเทศมีการเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว ทำให้การบริหารงานภาครัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อก้าวให้ทันประเทศอื่นๆ
2.สภาพการแข่งขันระหว่างประเทศ ทำให้ประเทศพยายามลดต้นทุนการผลิตของตนเองให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตของประเทศในโลกตะวันตกมาสู่ตะวันออก ก่อให้เกิดการว่างงานจำนวนมากในประเทศตะวันตก ทำให้ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหา
ขณะเดียวกันอิทธิพลของเทคโนโลยีที่นำเครื่องจักรมาใช้แรงงานคนยิ่งทำให้ปัญหาการว่างงานมีความรุนแรงมากขึ้น 
ปัญหาเหล่านี้ทำให้ภาครัฐต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำงานใหม่
3.วิกฤติการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก การเกิดวิกฤติการณ์ทางด้านเศรษฐกิจส่งผลให้ภาครัฐหันมาทบทวนการใช้จ่ายภาครัฐ เช่น มีการปรับเปลี่ยนให้มีกำลังคนในภาครัฐมีจำนวนน้อยลง 
4.การผูกขาดในภารกิจต่างๆของรัฐบาล ตามหลักการของ NEW PA ที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1968 ต้องการให้ภาครัฐเข้าไปสร้างบริการสาธารณะอย่างทั่วถึง ทำให้รัฐมีบทบาทและภารกิจมากขึ้น และพบว่าหลายภารกิจไม่สามารถทำให้ดีได้ โดยเฉพาะบทบาทในทางเศรษฐกิจของประเทศ
จึงต้องมีการทบทวนเพื่อปรับลดบทบาทของภาครัฐ โดยดูว่าภารกิจที่รัฐยังต้องทำเอง และภารกิจใดที่ต้องปล่อยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทน
5.การเติบโตของภาคเอกชนและองค์การประชาสังคม ทำให้รัฐต้องหันมาปรับบทบาทของตนเอง
6.ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในหน่วยงานภาครัฐ ที่แพร่หลายและทวีความรุนแรงก็เป็นสาเหตุสำคัญทีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานภาครัฐ 
7.การไม่มีประสิทธิภาพของระบบราชการ ที่ทำให้เกิดความล่าช้า มีการรวมอำนาจในการตัดสินใจ เน้นกฎระเบียบมากจนเกินไป
จากสภาพดังกล่าวทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการบริหารรัฐกิจทำให้เกิดการบริหารรัฐกิจแนวใหม่อีกช่วงหนึ่ง ที่เป็นแนวคิดที่มีอิทธิพลในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่ากระแส New Public Management (NPM) และเป็นแนวคิดที่สำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปฏิรูประบบราชการไทย
หลักการของ New Public Management (NPM)
1.การสร้างการบริการที่มีคุณภาพแก่ (Quality Service) ประชาชน นั่นคือภาครัฐจะต้องหันมาทบทวนว่าการดำเนินงานของรัฐจะทำอย่างไรที่จะให้บริการต่อประชาชนได้ดีขึ้น รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ 
สำหรับหลักการสร้างบริการที่มีคุณภาพให้กับประชาชนเกิดขึ้นในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2532 โดยมีการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้ของรัฐปี 2532 เช่นมีการกำหนดว่าในการบริการประชาชนในแต่ละเรื่องจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ แต่ไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบมากนัก
2.สนับสนุนให้ลดการควบคุมจากส่วนกลางและเพิ่มอิสระในการบริหารงานให้แก่หน่วยงานมากขึ้น หรือเน้นการกระจายอำนาจ ผ่อนคลายกฎระเบียบให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ 
การลดการควบคุมจากส่วนกลางเป็นที่มาของการจัดตั้งองค์การมหาชนในเมืองไทย และรวมถึงการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ส่วนท้องถิ่น
3.New PM ให้ความสำคัญกับผลการปฏิบัติงาน ดังนั้นแนวทางในการประเมินผลการปฏิบัติงานจึงได้รับความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เกิดการกำหนดการวัดผลงานที่ชัดเจนทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์การ เพื่อนำผลการปฏิบัติงานไปเชื่อมโยงกับการให้รางวัลและค่าตอบแทน ทั้งในระดับบุคคลและระดับหน่วยงาน
แนวคิดนี้ทำให้ปัจจุบันทุกหน่วยราชการจะต้องมีการสร้างตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานของทั้งบุคคลและหน่วยงาน และในอนาคตจะมีการนำ Balance Scorecard มาใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานในระดับองค์การ 
4.การสร้างระบบสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้บุคคลากรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และยังสนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานมากขึ้น 
ในเมืองไทยก็มีการนำระบบสำนักงานอัตโนมัติมาใช้ การทำระบบ E-Gard ที่ทำให้เกิดความรวดเร็วในการติดต่อระบบราชการ
5.การจัดการภาครัฐแนวใหม่สนับสนุนให้มีการเปิดกว้างในการแข่งขัน หลักการในข้อนี้เกิดจากการที่รัฐบาลมีภารกิจมากจนเกินไป เข้าไปมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากเกินไปและไม่มีประสิทธิภาพ  New PM จึงเสนอว่ารัฐจะต้องยอมรับเรื่องของการแข่งขัน
การแข่งขันในที่นี้จะต้องมีความเสรี เป็นการแข่งขันที่จะให้เอกชนเข้ามาปฏิบัติงานในส่วนที่รัฐเคยทำและไม่มีประสิทธิภาพ เช่นการจ้างเหมา การให้เช่า หรือแม้กระทั้งการแปรรูป
การแข่งขันในส่วนนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างภาครัฐด้วยกัน หรือระหว่างรัฐกับเอกชนก็ได้
ตัวอย่างของการให้บริการโทรศัพท์เดิมที่รัฐเป็นผู้ดูและการให้บริหารจะมีปัญหามาก มีความล่าช้า แต่พอเปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขันทำให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น
เมื่อมีการแข่งขันก็จะมีการนำกลไกการตลาดจะมาเป็นตัดสินว่าหน่วยงานใดดำเนินงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน เพราะถ้าหน่วยงานใดบริหารจัดการได้ดีประชาชนก็จะเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก
ขณะที่ภาครัฐเองก็มีการแข่งขันกัน เช่นมหาวิทยาลัยของรัฐก็มีการแข่งขันกันอย่างมากในแง่ของการให้การศึกษา

2.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
สำหรับแนวคิดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นั้นความคิดเดิมคือการเน้นการลงทุนในตัวมนุษย์เพื่อให้มนุษย์กลายเป็นทุนทางด้านการผลิตเพื่อสร้างความเติบโตในทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันการพัฒนามนุษย์เน้นการสร้างให้มนุษย์มีความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจ รวมทั้งพัฒนาให้มนุษย์ความสุข ใช้ชีวิตโดยปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้
นอกจากนี้ยังเน้นการลงทุนด้านการศึกษาเพื่อให้มนุษย์มีศักยภาพในการแข่งขันในการสร้างนวตกรรม 
โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ในภาครัฐ หรือพนักงานของรัฐหรือข้าราชการในยุคใหม่จะแตกต่างไปจากข้าราชการยุคเดิม โดยเฉพาะทัศนคติในการทำงานราชการมีการปรับเปลี่ยนให้ทำงานเหมือนเอกชนมากขึ้น เน้นให้ประชาชนเป็นลูกค้า สร้างและผลิตนวัตกรรมเพื่อการบริการให้มากขึ้น
ความสำคัญของคนทำให้การบริหารทรัพยากรบุคคลปัจจุบันเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษยในเชิงกลยุทธ์ คือการเอาคนเป็นศูนย์กลาง การมองว่าคนเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดขององค์กร สำคัญกว่าทรัพยากรตัวอื่นๆ จึงต้องพัฒนาศักยภาพ (Competency) ให้มีความโดดเด่น เพื่อให้คนเป็นพลังนำไปสู่เป้าหมายขององค์กร
เนื่องจากทุกวันนี้เป็นยุคเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร องค์การแต่ละองค์การสามารถเรียนรู้ได้แทบจะเท่าเทียมกัน การทำงานขององค์กรทุกองค์กรแทบจะไม่มีอุปสรรคเกี่ยวกับสถานที่และเวลาอีกต่อไป ความสามารถในการแข่งขันขององค์การจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าองค์การตั้งอยู่ ณ ที่ใด หรือมีเทคโนโลยีเหนือกว่าอีกต่อไป แต่ ขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคใหม่ขึ้นอยู่กับว่า องค์การไหนมีคนที่มีคุณภาพมากกว่ากัน 
การพัฒนาคนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดขององค์การ และการพัฒนาคนที่ดีจะต้องพัฒนาในเชิงกลยุทธ์ด้วย โดยกลยุทธ์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขององค์กร
ลักษณะเช่นนี้ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การที่เรียกว่า HR จะต้องเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ต้องทำงานร่วมกับ CEO ขององค์การหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรมนุษย์  หรือ CHR (Chief Human Resource)ในองค์กรสมัยใหม่จะไม่ได้เป็นแค่งานธุรการที่ทำงานเฉพาะ เรื่องเงินเดือนและสวัสดิการพนักงานอีกต่อไป แต่ HR ในองค์กรเชิงกลยุทธ์จะต้องเป็น HR มืออาชีพหรือ HR Professional ที่ต้องคิดว่าจะสร้างและพัฒนาคนเพื่อให้คนมีขีดความสามารถ (Capabilities) ในการทำงาน มีการทุ่มเทในการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การได้อย่างไร 
ทั้งนี้แนวคิดเชิงกลยุทธ์เป็นแนวคิดที่เริ่มต้นในวงการทหาร แต่ภาคเอกชนนำมาใช้ในการบริหารจัดการมานานแล้ว รวมทั้งในปัจจุบันที่ภาคเอกชนให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนเชิงกลยุทธ์ ส่วนภาคราชการเพิ่งนำมาปรับใช้ โดยเฉพาะประเทศไทยเราเริ่มใช้แนวคิดการบริหารองค์การราชการเชิงกลยุทธ์อย่างจริงจังในสมัยรัฐบาลทักษิณ

    3.องค์การและการจัดการ 
1.ทฤษฎีองค์การ
ทฤษฎีองค์การจะมีพัฒนาการคล้ายกับพัฒนาการของทฤษฎีการบริหารรัฐกิจ
เราสามารถแบ่งทฤษฎีองค์การออกเป็น 3 ยุคคือ 
    1.ทฤษฎีองค์การในยุคคลาสสิก (Classical Organization Theory) เป็นยุคเริ่มต้นของการศึกษาองค์การ แนวคิดหลักของยุคนี้คือความพยายามในการแสวงหาหลักการทำงานและหลักการบริหารที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหาร 
    ทฤษฎีสำคัญๆในยุคนี้ เช่น
    -การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ของเฟดเดอริก ดับเบิลยู เทเลอร์ 
    -หลักการบริหารของกุลลิค-เออร์วิค
    -องค์การตามระบบราชการของแมกซ์ เวเบอร์
    2.ทฤษฎีองค์การยุคนีโอคลาสสิก (Neoclassical Organization Theory) เป็นยุคที่นักวิชาการออกมาวิจารณ์แนวคิดในยุคแรก เนื่องจากแนวคิดยุคแรกให้ความสำคัญกับ หลักการทำงานและการการบริหารงานมากเกินไป โดยละเลยคนในองค์การ 
    ยุคนีโอคลาสสิกจึงเสนอว่า การจะให้องค์การมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องให้ความสำคัญกับคนในองค์การทั้งในเรื่องของจิตใจ ความต้องการ และพฤติกรรมของบุคคลและกลุ่มในองค์การ
    ทฤษฎีองค์การในยุคนี้จะมีจุดหลักอยู่ที่นักทฤษฎีในกลุ่มมานุษยนิยม (Humanism) เช่น เอลตัน เมโย /อับราฮัม มาสโลว์ /เฮอร์เบิร์ต ไชม่อน/แมรี่ ปากเกอร์ ฟอลลเลต และคนอื่นๆอีกมาก
    โดยทฤษฎีที่นำเสนอส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคน
    3.ทฤษฎีองค์การยุคใหม่ (Modern Organization Theory) เป็นแนวคิดที่มองว่าทฤษฎีใน 2 ยุคแรกเป็นการมององค์การในระบบปิด (Closed Perspective) คือไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ 
    ทฤษฎีองค์การยุคใหม่มองว่าองค์การนั้นอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมและสิ่งแวดล้อมมีผลอย่างยิ่งต่อองค์การและการบริหารงานในองค์การ ดังนั้นการศึกษาองค์การจึงควรศึกษาในระบบเปิด (Open Perspective) 
    ทฤษฎีองค์การในยุคใหม่เช่น
    -ทฤษฎีการมององค์การเชิงระบบ (Systems Approach)
    -ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์ (Situation or Contingency Approach)
    -ทฤษฎีองค์การที่เน้นการกระทำ (The Action Approach)
    กล่าวคือทฤษฎีองค์การยุคใหม่จะเน้นองค์การที่ไม่เป็นทางการ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว
2.โครงสร้างองค์การ    
โครงสร้างองค์การจะสอดคล้องกับทฤษฎีองค์การ นั่นคือในยุคแรกโครงสร้างขององค์การก็จะมีความเป็นทางการ ส่วนปัจจุบันโครงสร้างขององค์การมีลักษณะยืดหยุ่นสูง ปรับตัวได้ง่าย 
    สำหรับรูปแบบโครงสร้างองค์การที่สำคัญประกอบด้วย
1.โครงสร้างแบบราชการของเวบเบอร์ มีหลักการคือ
1.1 เหมาะกับองค์การขนาดใหญ่ ที่มีคนมาก ภารกิจมา ซึ่งเป็นองค์การที่มีภารกิจหน่วยงานย่อยๆหลายหน่วยงาน 
 1.2 มีการกำหนดสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน (Hierarchy) 
1.3 มีความเป็นทางการสูง มีการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจน มีการจัดทำคู่มือในการทำงานเอาไว้อย่างชัดเจน 
    1.4 สภาพแวดล้อมมีความคงที่
2.โครงสร้างแบบ Matrix 
    จะเป็นโครงสร้างที่อยู่ภายใต้ระบบราชการเช่นกัน แต่โครงสร้างแบบนี้จะใช้ในกรณีมีภารกิจใหม่ และจะนำคนที่อยู่ภายในหน่วยงานย่อยต่างๆมาทำงานร่วมกันในภารกิจใหม่ โดยมีหัวหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานตามภารกิจใหม่ และคนในหน่วยงานย่อยที่มาทำงานในภารกิจพิเศษก็จะมีหัวหน้า 2 คน  แต่หัวหน้าที่รับผิดชอบในภารกิจพิเศษจะใช้วิธีการสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นกับทีมงาน อาจจะใช้บารมี แต่ไม่มีอำนาจโดยตรงต่อทีมงานที่เข้ามาร่วมงาน
    การจัดโครงสร้างแบบนี้จะเป็นการใช้ประโยชน์จากกำลังคนอย่างเต็มที่
    ผู้ว่าราชการจังหวัดถือว่าทำงานภายใต้โครงสร้างแบบ Matrix เนื่องจากต้องทำหน้าที่ประสานงานให้หน่วยงานที่เป็นตัวแทนของกรม หรือกระทรวงต่างๆภายในจังหวัดมาทำงานเพื่อผลประโยชน์ของคนในจังหวัดได้
    3.โครงสร้างแบบโครงการหรือแบบคณะกรรมการ
    โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการอาจจะเป็นแบบถาวรหรือชั่วคราวก็ได้ ตัวอย่างที่ถาวรเช่นคณะกรรมการอาหารและยา
    โครงสร้างแบบนี้จะนำเอาผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขามาทำงานร่วมกันในรูปแบบขององค์การแนวราบ (Flat) จะมีหัวหน้า 1 คนเช่นมีเลขาธิการ 1 คน ส่วนคนอื่นๆก็จะเป็นกรรมการ
    โครงสร้างแบบคณะกรรมการจะเน้นการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม และอาจจะมีขึ้นภายในองค์การที่มีโครงสร้างแบบราชการดำรงอยู่แล้ว และเมื่อมีภารกิจใหม่หรือโครงการใหม่ก็จะจัดโครงสร้างขึ้นมาใหม่ เมื่อจบภารกิจก็จะยุบเลิกไป 
    คนที่เข้ามาอยู่ในทีมงานจะมาจากบุคคลภายนอกหากต้องหาศัยผู้เชี่ยวชาญมาทำงาน เป็นการจ้างแบบชั่วคราว เมื่อจบภารกิจก็ยุบเลิกไป
    4.โครงสร้างแบบเครือข่าย
    จะเป็นโครงสร้างที่มีหน่วยงานหลายหน่วยงานที่มีโครงสร้างในแบบต่างๆมาทำงานร่วมกัน เช่นบริษัทเสื้อผ้าจะมีหน่วยงานสนับสนุน เช่นจ้างบริษัทสำรวจตลาด จ้างบริษัทออกแบบ จ้างบริษัทตัดเย็บ และจ้างบริษัทจัดจำหน่าย โดยมีบริษัทเจ้าของแบรนด์เนมเป็นผู้บริหารจัดการ
ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานจะไม่มีสายการบังคับบัญชา มีความยืดหยุ่นสูง การบอกเลิกจ้างทำได้ง่าย
การจัดโครงสร้างแบบนี้ทำให้หน่วยงานหลักไม่ต้องไปทำงานทุกอย่างด้วยตนเอง
    
5.โครงสร้างองค์การตามสถานการณ์ (Contingency Organization) เป็นโครงสร้างที่ถูกนำมาใช้มากในปัจจุบัน
สมมุติฐานของโครงสร้างองค์การตามสถานการณ์
-โครงสร้างองค์กรแต่ละแบบ  จะไม่มีแบบใดดีที่สุดที่ใช้ได้ตลอดเวลาหรือทุกสถานที่ (เหมือนกับไม่มียาใดที่รักษาได้ทุกโรค)
-โครงสร้างแต่ละแบบมีประสิทธิผลไม่เท่ากัน
-การจัดโครงสร้างองค์การจึงควรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบทขององค์การ 
เช่นถ้าคนในองค์การไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี องค์การก็ไม่สามารถจัดโครงสร้างองค์การแบบเสมือนจริงได้ 
-องค์การจะต้องเป็นระบบเปิด องค์การสมัยใหม่จึงต้องเปิดรับเทคโนโลยีเพื่อทำให้องค์การมีความสามารถในการปรับตัว เพื่อให้อยู่รอด (Survival) และนำมาองค์การไปสู่ความเป็นเลิศ (Excellence)
-การตัดสินในในองค์การต้องอาศัยหลักการตัดสินใจแบบมีเหตุผล 
จากรูปแบบโครงสร้างหลายรูปแบบ สามารถแบ่งโครงสร้างองค์การออกเป็น 2 กลุ่มคือ
    1.โครงสร้างองค์การแบบเครื่องจักร (Mechanistic Organization) จะเป็นโครงสร้างที่ตายตัว มีความคงที่ เหมาะสำหรับงานประจำ มีสภาพแวดล้อมที่นิ่ง มีความชัดเจน เช่นโครงสร้างตามระบบราชการของเวเบอร์
    2.โครงสร้างองค์การแบบสิ่งมีชีวิต ( Organic Organization ) เป็นโครงสร้างที่มีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง งานที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน  และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา 
นโยบายสาธารณะ (Public Policy)
ประเด็นสำคัญที่เราต้องเข้าใจในเรื่องนโยบายคือ กระบวนการนโยบาย (Policy Process) ซึ่งประกอบด้วย
1.การกำหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2.การนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
3.การประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation) 
สำหรับการศึกษานโยบายในเชิงการเมือง หรือในฐานะที่เป็นนักรัฐศาสตร์มักจะมุ่งตอบคำถามว่านโยบายเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเบื้องหลังของนโยบายของรัฐบาล
แต่ละนโยบายนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ทำให้เราต้องเข้าใจถึงตัวแบบในการกำหนดโนบาย
    ตัวแบบในการกำหนดนโยบาย (ตามแนวคิดของโทมัส ดาย) ประกอบด้วยตัวแบบที่สำคัญๆคือ
1.ตัวแบบผู้นำ (Elite Model) มองว่านโยบายสาธารณะนั้นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความต้องการของผู้นำ หรือ Policy as Elite Preference 
2.ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) คือตัวแบบที่มองว่านโยบายคือดุลยภาพระหว่างกลุ่ม (Policy as Group Equilibrium) กลุ่มใดที่มีอิทธิพลมากนโยบายก็จะค่อนไปทางกลุ่มนั้น
3.ตัวแบบสถาบัน (Institutional Model) มองว่านโยบายสาธารณะนั้นคือกิจกรรมของสถาบันของรัฐ ดังนั้นสถาบันของรัฐจะมีบทบาทในการกำหนดนโยบายโดยสถาบันที่ว่านี้จะมีทั้งสถาบันหลัก (Official Policy Maker) และสถาบันรอง (Un-Official Policy Maker) 
4.ตัวแบบกระบวนการ (Process Model) มองว่านโยบายสาธารณะคือกิจกรรมทางการเมือง (Policy as Political Activities)นั่นคือมองว่าในทุกขั้นตอนของกระบวนการนโยบายจะมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ ไม่ว่าจะเป็นขั้นการกำหนดนโยบายที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ที่กำหนดนโยบาย ขั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติฝ่ายการเมืองก็จะเข้าไปดูแลกำกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ ในขั้นการประเมินผลนโยบายฝ่ายการเมืองก็จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปพิจารณาว่าจะนโยบายนั้นควรจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องหรือควรจะยกเลิกนโยบาย
5.ตัวแบบระบบ (System Model) มองว่านโยบายคือผลผลิตของระบบ (Systems Outputs) 
6.ตัวแบบมีเหตุผล (Rational Model) เป็นตัวแบบที่มองว่านโยบายหมายถึง (Policy as Maximum Social Gain)**ตัวแบบนี้มักจะถูกนำมาออกข้อสอบเสมอ โดยมักจะถามว่าความมีเหตุผลของนโยบายนั้นดูจากอะไร และอะไรที่เรียกว่า Social Gain หรือผลประโยชน์ตอบแทนทางสังคมสูงสุด การจะตอบคำถามนี้เราจะต้องเข้าใจขั้นตอนการกำหนดนโยบายตามตัวแบบมีเหตุผลว่ามีการพิจารณาอย่างไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่านโยบายนั้นๆใช้ตัวแบบ Rational Model ในการกำหนด
กล่าวคือเราจะต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าในการกำหนดปัญหาจะต้องดูว่าเป็นปัญหาหรือความต้องการของที่แท้จริงของประชาชนและต้องดูว่าปัญหาหรือความต้องการนั้นมีทางเลือกในการแก้ไขหรือดำเนินการกี่ทางเลือก จากนั้นต้องดูว่าแต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และจะต้องเลือกทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
ดังนั้นตาม Rational Model จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเหตุผลในการกำหนดนโยบายว่านโยบายนั้นจะต้องเป็นนโยบายที่ทำให้เกิดผลตอบแทนกับสังคมส่วนรวมสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะต้องเสียไปในการดำเนินนโยบาย
7.ตัวแบบส่วนที่เปลี่ยนแปลงหรือตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Model) เป็นตัวแบบที่ใช้ตัวแบบในอดีตมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดนโยบาย โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในบางส่วน หรือ Policy as Variation on the Past 
8.ตัวแบบทฤษฎีเกมส์ (Game Theory Model) เป็นตัวแบบที่มองว่านโยบายคือทางเลือกที่มีเหตุมีผลในท่ามกลางสถานการณ์ที่มีการแข่งขัน ซึ่งตัวแบบนี้จะเน้นในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ
ถ้าข้อสอบออกเรื่องนโยบาย แล้วให้เราวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดนโยบายเราจะต้องเอาตัวแบบเหล่านี้ไปวิเคราะห์ ถ้าออกให้เราวิเคราะห์ผลของนโยบายเราอาจจะต้องนำเอาแนวคิดทฤษฎีในส่วนของการการนำนโยบายปฏิบัติและการประเมินผลนโยบายไปวิเคราะห์ เพราะในแต่ละขั้นของกระบวนการนโยบายจะมีทฤษฎีที่นำไปวิเคราะห์ได้ 
ตัวแบบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ
1.ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล (Rational Model) เชื่อว่า ความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติอยู่ที่ประสิทธิภาพของการวางแผนวางโครงการที่ดีและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ เหตุผลที่ดีของการนำนโยบายไปปฏิบัติการทำให้นโยบายบรรลุความสำเร็จ
 และการจะทำให้นโยบายบรรลุเป้าหมายได้ต้องมีกระบวนการต่อไปนี้
-นโยบายต้องกำหนดวัตถุประสงค์และภารกิจที่ชัดเจน 
-มอบหมายงานและกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติให้แก่หน่วยย่อยอย่างชัดเจน 
-มีระบบการวัดผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน 
-มีการให้คุณให้โทษ 
2.ตัวแบบด้านการจัดการ (Management Model) มองว่า ความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติอยู่ที่สมรรถนะขององค์การ  ทั้งนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จของนโยบายขึ้นอยู่กับ
-การเป็นองค์การที่มีความรับผิดชอบ   
-เป็นองค์การมีความสามารถ
-มีโครงสร้างเหมาะสม 
-บุคลากรมีความรู้ความสามารถทางการบริการและเทคนิค 
-มีการวางแผนเตรียมความพร้อมได้แก่
    -วัสดุอุปกรณ์
    -สถานที่
    -เครื่องมือเครื่องใช้
    -งบประมาณ
3. ตัวแบบด้านการพัฒนาองค์การ (Organization Development Model) เชื่อว่า องค์การทำงานได้ก็โดยอาศัยคน สมรรถนะขององค์การจึงขึ้นอยู่กับความสามารถของคนเป็นสำคัญ นโยบายจะสำเร็จเพราะคนในองค์การมีความร่วมมือกัน ปัจจัยที่อยู่ภายใต้ตัวแบบนี้ได้แก่
-การสร้างความผูกพันและการยอมรับ 
    -เน้นการมีส่วนร่วมภายในองค์การเป็นหลัก โดยให้ความเชื่อว่าการมีส่วนร่วมจะทำให้เกิดการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ 
    -มีการจูงใจ แบ่งได้ 2 ประเภทคือวัตถุสิ่งของ(การให้สิ่งของวัตถุ) และไม่ใช่วัตถุสิ่งของเช่นชื่อเสียง เกียรติยศ การมีโอกาสดีกว่าคนอื่น การเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง 
    -การใช้ภาวะผู้นำที่เหมาะสม
    -การสร้างการยอมรับและความผูกพันของสมาชิก
    -การสร้างทีมงาน
4. ตัวแบบกระบวนการราชการ (Bureaucratic Process Model) ตัวแบบนี้มองว่าผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติขึ้นอยู่กับปัจจัยสองประการคือ
1.  ระดับความเข้าใจสภาพความเป็นจริงในการให้บริการของผู้กำหนดนโยบายหรือผู้บริหารโครงการพัฒนา
2.  ระดับการยอมรับนโยบายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ประจำวันของผู้ปฏิบัติ 
5.  ตัวแบบทางการเมือง (Political Model) มองว่าความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติอยู่ที่คนที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ 
-บุคคลที่เป็นตัวแทนขององค์การ 
-กลุ่มหรือสถาบัน
-ความสัมพันธ์กับปัจจัยภายนอก 
การเจรจาต่อรองจึงเป็นหัวใจสำคัญของตัวแบบนี้ ความสำเร็จของการเจรจาต่อรองขึ้นอยู่กับ
-ความสามารถในการเจรจา 
-สถานะอำนาจ ถ้ามีอำนาจจะทำให้เกิดความมั่นใจในการตัดสินใจมากขึ้น การเจรจาต่อรองทำได้สำเร็จเร็วขึ้น 
-ทรัพยากร คนที่มีทรัพยากรมากกว่าย่อมต่อรองได้ดีกว่า
-คนที่เกี่ยวข้องในการเจรจาต่อรอง ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งเจรจากันได้ยาก 
-การสนับสนุนจากฝ่ายอื่น ๆ ได้แก่ สื่อมวลชน นักการเมือง หัวหน้าหน่วยงาน กลุ่มผลประโยชน์ บุคคลสำคัญ
6.  ตัวแบบทั่วไป เป็นการผสมผสานปัจจัยจากหลายตัวแบบเข้าด้วยกัน ตัวแบบนี้ซึ่งให้ความสำคัญกับ 
-กระบวนการสื่อความ
-สมรรถนะขององค์การ
-ความร่วมมือสนับสนุนของผู้ปฏิบัติ 
-ลักษณะของหน่วย
-ความรู้ความสามารถของบุคคล
-ความพร้อมที่จะร่วมมือ
-สมรรถนะขององค์การ
-ลักษณะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
-หัวหน้าหน่วย
-ทรัพยากรเพียงพอ 
-กิจกรรมจูงใจให้ปฏิบัติ
-คุณภาพของบุคลากร
-ภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม ความร่วมมือทั่วไป
-ความร่วมมือกันเองของผู้ปฏิบัติ
-ความภักดีต่อองค์กร
-ผลประโยชน์ส่วนตัว
ตัวแบบในการประเมินผลนโยบาย
1.ตัวแบบ  CIPP มองว่าในการประเมินผลจะต้องประเมินปัจจัยต่างๆ คือ 
-Context  หรือสภาพแวดล้อม ซึ่งก็คือการประเมินสภาพแวดล้อมหรือประเมินวัตถุประสงค์ของนโยบาย 
- Inputs การประเมินปัจจัยเบื้องต้นหรือทรัพยากรที่เรานำมาใช้ ว่ามีเพียงพอและมีคุณภาพพอที่จะดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
-Process  การประเมินกระบวนการ เป็นการประเมินปัญหา อุปสรรค จุดเด่นจุดด้อยและปัญหาของโครงการ
-Products การประเมินผลได้จากนโยบายหรือโครงการ หรือประเมินผลที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
การประเมินนโยบายตาม CIPP ถือว่าเป็นการประเมินนโยบายครบวงจร ทั้งก่อนดำเนินโครงการ ระหว่างดำเนินโครงการ และหลังการนำนโยบายไปปฏิบัติ แต่ส่วนใหญ่ที่ทำกันคือประเมิน Product
2.การประเมินตามเกณฑ์
    ส่วนมากจะให้ความสำคัญกับเกณฑ์ 2 ตัวหลักคือ
    1.การประเมินประสิทธิผล (Effectiveness) เป็นการประเมินเพื่อดูว่านโยบายประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้านโยบายบรรลุตามวัตถุประสงค์แสดงว่านโยบายนั้นมีประสิทธิผล
2.การประเมินประสิทธิภาพ (Efficiency)  เป็นการประเมินว่าผลของนโยบายมีความคุ้มค่ากับต้นทุนที่ลงไปหรือไม่ ต้นทุนในที่นี้มีทั้งต้นทุนด้านเวลา ต้นทุนด้านงบประมาณ และต้นทุนด้านอื่นๆ เช่นด้านสังคม
แต่ต่อมาการประเมินผลนโยบายได้เพิ่มเกณฑ์อื่นคือ
3.ความเสมอภาค 
4.ความยุติธรรม 
5.ความพึงพอใจ 
6.ผลที่เกิดขึ้นในทางสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต 
7.ผลที่เกิดขึ้นในด้านสิ่งแวดล้อม
(การที่จะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการประเมินขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการประเมิน ซึ่งวัตถุประสงค์ในการประเมินก็ควรจะสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของนโยบาย)
โดยสรุป ปัจจุบันการบริหารงานภาครัฐ ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดการทำงานจากการทำงานแบบดั้งเดิมที่เน้นความเป็นระบบราชการ มาเป็นการจัดการภาครัฐที่ยิบยืมแนวคิดแบบเอกชนมาใช้ 
เราจึงพบว่ามีการเปลี่ยนจากคำว่า Public Administration มาเป็น Public Management 
ความแตกต่างระหว่างคำว่า “การบริหาร” (Administration) กับคำว่า “การจัดการ” (Management) จะอยู่ที่ “วิธีการ” กล่าวคือการบริหารจะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นขั้นตอนตามลำดับโดยต้องทำตามระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้แล้ว ส่วนการจัดการจะเกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 
ยุคโลกาภิวัตน์นี้ สภาพการณ์ต่างๆได้บีบบังคับให้ภาครัฐและเอกชนต้องทำงานอย่างประสานร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวมให้สูงขึ้นการร่วมมือกันนี้ทำให้เกิดการถ่ายโอน “เทคนิคและวิธีการบริหารจัดการ” ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้เกิดการดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดได้ 
การที่ภาครัฐและเอกชนต้องทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเช่นนี้ ทำให้เกิดความจำเป็นในการต้องลดค่าใช้จ่ายต่างๆ (ลดต้นทุนการผลิต) ที่เกิดจากการติดต่อประสานงานกันให้เหลือน้อยที่สุด
แต่อุปสรรคสำคัญในเรื่องของการลดต้นทุนนี้ก็คือมาตรการควบคุม(ตามระเบียบกฎเกณฑ์) ของภาครัฐ และการใช้ดุลยพินิจ (อย่างไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน) ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 
ดังนั้น ปัญหาที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมกันแก้ไขก็คือจะทำอย่างไรให้มาตรการควบคุมของภาครัฐผ่อนคลายลง (โดยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น) พร้อมๆ กับการลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ลงด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น (เพราะการใช้ดุลยพินิจ อาจทำให้เกิด Double Standards ที่ทำให้ภาคเอกชนบางรายเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน และส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม)
ผู้นำของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องอาศัย “เทคนิคและวิธีการบริหารจัดการ” ต่างๆ มากมาย เพื่อให้สามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง (ที่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว) และที่สำคัญที่สุดก็คือผู้นำในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Leader) ควรจะต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่นั้นนานเพียงพอที่จะดำเนินการจนบรรลุผลสำเร็จด้วย 
ดังนั้นทุกวันนี้การจัดการภาครัฐ จึงเป็นบริหารรัฐกิจยุคใหม่ โดย 
    -บริหารคนโดยยึดคนเป็นเป็นศูนย์กลาง พัฒนาคน ทั้งกาย จิตใจ สติปัญญา
    -บริหารงาน โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม บริหารงานท่ามกลางเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น บริหารงานในลักษณะงานเฉพาะกิจ องค์การต้องเป็นองค์การแบบ Organic ไม่ใช่ Mechanic 
    -บริหารเงิน โดยโปร่งใส กระจายอำนาจ 
    ***ที่สำคัญกระแสที่มาแรงมากคือการ บริหารงาน บริหาร และบริหารเงิน ในเชิงคุณธรรม จริยธรรม แต่ ยังไม่ทิ้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการบริหารงาน    
ทฤษฎีในการบริหารรัฐกิจยุคใหม่นั้นจะเรียกว่า Public Management หรือ Mangerialism เป็นแนวคิดเชิงปฏิรูป  บริหารราชการในอนาคตรัฐยังเป็นเจ้าของแต่จะต้องบริหารเชิงธุรกิจเอกชน
การปฏิรูประบบราชการ
ประมาณปี 2523 (1980) ได้เกิดแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีทั้งแรงผลักดันที่มาจากทั้งภายนอกและภายใน
แรงผลักดันภายนอกที่สำคัญๆได้แก่ 
-อิทธิพลของโลกาภิวัตน์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อการทำงานในระบบราชการมากขึ้น
-สภาพการแข่งขันระหว่างประเทศ ทำให้หน่วยราชการต้องปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อรองรับการแข่งขัน
-วิกฤติทางด้านเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ระบบราชการถูกทบทวน โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณ โดยเฉพาะงบประมาณในด้านค่าตอบแทนและเงินเดือนข้าราชการที่พบว่ามีสูงมากแต่ประสิทธิภาพในการทำงานยังต่ำ ดังนั้นจึงต้องมี
-แนวคิดในการปรับลดบทบาทภาครัฐ เนื่องจากการที่รัฐมีบทบาทมากในช่วงก่อนหน้านั้นได้ก่อให้เกิดปัญหามากกมาย โดยเฉพาะการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ต้องมีการลดบทบาทของภาครัฐลง
-การเติบโตและความเข้มแข็งของภาคเอกชน รวมทั้งความเข้มแข็งขององค์การประชาสังคม ทำให้ภาครัฐซึ่งมีสภาพที่อ่อนแอจะต้องหันมามองตนเอง และถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง
แรงผลักดันที่เกิดจากภายในตัวระบบราชการเอง คือ
-ความเสื่อมของระบบราชการ (Bureaucratic Pathology) ซึ่งเกิดจาก 
/ การไม่มีประสิทธิภาพ 
/การขยายอำนาจของระบบราชการ
/เกิดการทำงานที่ล่าช้า
/ข้าราชการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
/การทำงานเน้นกฎระเบียบจนขาดการคำนึงถึงความเป็นมนุษย์
-เกิดสิ่งที่เรียกว่า Dirty Government เกิดจาก
/การขาดการมีส่วนร่วม ของข้าราชการ แต่การตัดสินใจอยู่ที่ผู้บริหาร
/มีการทุจริต 
/ขาดความโปร่งใสและการตรวจสอบ
เหล่านี้คือปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการไทย และแรงผลักดันเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ผู้บริหารประเทศมองเห็นและยอมรับว่าระบบราชการควรจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่มีการตัดสินใจที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ความต้องการในการเปลี่ยนแปลงยังคงมีอยู่โดยมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ระบบราชการเกิดสิ่งต่อไปนี้คือ
1.ความโปร่ง (Transparency)
2.เกิดคุณภาพในการบริหารจัดการ (Quality)
3.การบริหารงานที่มีประสิทธิผล (Effectiveness)
4.การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency)
เดือนตุลาคม 2545 ก็ได้มีการปฏิรูประบบราชการอย่างเป็นรูปธรรม โดยตรารบ.บริหารราชการแผ่นดินฉบับที่ 5 ขึ้น และในมาตรา 3/1 มีการบัญญัติว่าการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการจะต้องทำโดยการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และมีความคุ่มค่าในการใช้งบประมาณของรัฐ มีประสิทธิภาพ การลดขั้นตอนการปฏิบัติ
จากนั้นรัฐบาลก็ได้ออกกฎหมายปฏิรูปโครงสร้าง กระทรวง ทบวงกรม 2545 มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระทรวง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการ
เป้าหมายของการปฏิรูป
1.การจัดส่วนราชการใหม่
2.ต้องการพัฒนาการจัดองค์การในระบบราชการใหม่
3.การกำหนดแบบแผนในการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิด Good Governance 
หลังจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยราชการเวลานี้การปฏิรูประบบราชการกำลังอยู่ในขั้นของการปฏิรูปพฤติกรรมของข้าราชการ ดังจะพบว่ารัฐบาลพยายามออกโครงการต่างๆเพื่อให้ข้าราชการทำงานอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น เช่นการทำโครงการระยะ 3 ที่ต้องการพัฒนาข้าราชการถ้าพัฒนาไม่ได้ก็ต้องออกจากระบบ หรือการให้ข้าราชการแต่ละคนประเมินงานของตนเอง
    สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือการปฏิรูประบบราชการของเราที่เดินมาตั้งแต่ปี 2545 ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว


 
 
ประพันธ์ เวารัมย์ [101.51.55.xxx] เมื่อ 14/01/2017 13:57
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
รูปประกอบความคิดเห็น :
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
อีเมล์ :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :