สถิติ
เปิดเมื่อ21/09/2014
อัพเดท11/07/2015
ผู้เข้าชม1712133
แสดงหน้า2185517
บทความ
ประวัติ นายประพันธ์ เวารัมย์ (เจ้าของเว็บไซต์)
ประวัตินายประพันธ์ เวารัมย์ เจ้าของเว็บไซต์ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
ข้อมูลเตรียมสอบปลัดอำเภอ
้ข้อมูลเตรียมสอบปลัด 2
แนวข้อสอบปลัดอำเภอ
คู่มือการดูแลรักษาและคุ้มครองที่สาธารณประโยชน์
เจ้าของเว็บไซต์
โครงสร้างเตรียมสอบปลัดอำเภอ ข้อสอบที่เคยออกปี 2548 และปี 51-55 (สำหรับผู้ใฝ่ฝัน เป็นปลัดอำเภอ)
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
ตู้หนังสือ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
คู่มือปฏิบัติงานกองอาสารักษาดินแดน
วันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
​หนังสือคู่มือการทะเบียนราษฎร
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
หนังสือสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับท้องถิ่น
ท้องถิ่นกำลังจะแก้ไขหลักเกณฑ์การสอบใหม่
เรื่องทั่้วไป
เว็บไซต์กระทรวงต่างๆ 20 กระทรวง
แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
ยังจำท่านได้ดี ท่านสิริรัฐ (สถาพร) ชุมอุปการ (นายอำเภอประโคนชัย ปี 2547)
สวัสดีวันพุธ ที่ 24 เดือน กันยายน พ.ศ. 2557 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ เนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 2)
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 1)
หนังสือปฏิบัติงานกรมการปกครอง
คู่มือการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการปกครอง ของปลัดอำเภอ
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 5
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 4
รวมกฎหมายปกครองเล่ม 3
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 1
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 2
ปฎิทิน
April 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
  
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
   




สรุปแนวคิดของนักคิดคนสำคัญทางรัฐศาสตร์

สรุปแนวคิดของนักคิดคนสำคัญทางรัฐศาสตร์
อ้างอิง อ่าน 18080 ครั้ง / ตอบ 1 ครั้ง

ประพันธ์ เวารัมย์

สรุปแนวคิดของนักคิดคนสำคัญทางรัฐศาสตร์

    นักคิดในกลุ่มวิชา Plan A 
    1.นักปรัชญาทางการเมือง หมายถึงนักคิดที่มุ่งตอบคำถามทางการเมืองว่าการเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร รูปแบบการปกครองที่ดีควรเป็นอย่างไร ผู้ปกครองที่ดีควรเป็นอย่างไร 
นักปรัชญาทางการเมืองคนสำคัญๆ ได้แก่
    1.1 เพลโต มองงว่าการปกครองที่ดีต้องปกครองโดยนักปราชญ์ คือคนที่มีความรู้ แต่ต้องมีคุณธรรมด้วย การที่ผู้ปกครองมีคุณธรรมจะต้องเป็นผู้ปกครองที่ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว (ดังนั้นผู้ปกครองที่ดีต้องมีความรู้และคุณธรรม) 
    1.2 อริสโตเติล มองว่าการปกครองที่ดีคือการปกครองโดยชนชั้นกลาง เพราะชนชั้นกลางมีความรู้และมีความสามารถในการประสานผลประโยชน์ระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นลาง (อริสโตเติลจึงไม่เห็นด้วยกับการปกครองโดยคนสวนใหญ่ หรือไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย เพราะมองว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนที่ไม่มีความรู้) 
    1.3 นักปรัชญาในกลุ่มสัญญาประชาคม (Social Contract) เป็นนักคิดที่มองว่ารัฐเกิดจากคนในสังคมมารวมกันทำสัญญามอบอำนาจการปกครองให้กับผู้ปกครอง นักคิดในกลุ่มนี้มี 3 คน ประกอบด้วย
โธมัส ฮอบส์ เชื่อว่าก่อนจะมารวมตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ตามธรรมชาตินั้นมีความชั่วร้าย เต็มไปด้วยกิเลส มนุษย์เป็นศัตรูกันและพร้อมที่จะฆ่ากันเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง การฆ่าคนอื่นจึงถือเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ จนกระทั่งมนุษย์มาทำสัญญาว่าจะไม่ใช้สิทธิตามธรรมชาตินี้อีก มนุษย์จึงมาทำสัญญาต่อกันจนทำให้เกิด Civil Society หรือเกิดรัฐขึ้นมา แต่สัญญาประชาคมของฮอบส์บอกว่ามนุษย์ทุกคนสัญญาว่าจะไม่เป็นผู้ปกครอง แต่ทุกคนยอมเสียสละสิทธิตามธรรมชาติให้ผู้ปกครอง ขณะที่คนที่ปกครองไม่ได้มาทำสัญญาประชาคมด้วย ผู้ปกครองจึงยังมีสิทธิของมนุษย์ตามสภาพธรรมชาติ ผู้ปกครองจึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ ความเชื่อเช่นทำให้ผู้ปกครองหรือรัฐของฮอบส์เป็นรัฐที่มีอำนาจเด็ดขาดและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ปกครองตามแนวคิดของฮอบส์จึงหมายถึงกษัตริย์ที่มีอำ
-จอห์น ล๊อค มีความเชื่อพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์ว่ามนุษย์เป็นคนดี มีเหตุผลแต่การที่มนุษย์ตามสภาพธรรมชาติใช้เหตุผลได้ไม่เท่ากันโดยเฉพาะเหตุผลในการแสวงหาทรัพย์สิน และสภาพตามธรรมชาติทำให้มนุษย์ไม่สามารถใช้ศักยภาพได้ไม่เต็มที่ มนุษย์จึงต้องทำสัญญาประชาคมเพื่อมาอยู่รวมกันในสังคมการเมือง เพราะเชื่อว่าการเข้ามาอยู่ในสังคมการเมืองจะช่วยทำให้มนุษย์มีศักยภาพมากขึ้น
แต่การมารวมกันเป็นสังคมการเมืองของมนุษย์นั้นมนุษย์ได้เอาสิทธิธรรมชาติของมนุษย์มาด้วย โดยสิทธิดังกล่าวและเป็นสิ่งที่รัฐเอาไปไม่ได้ ดังนั้นในแนวคิดของล๊อครัฐบาลที่เกิดขึ้นจึงต้องเคารพสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ นั่นคือเคารพในความมีเสรีภาพของมนุษย์ รัฐบาลที่เกิดขึ้นมาจึงเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องรักษาสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ รัฐบาลทีดีในสายตาของล๊อคจึงหมายถึงรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ เพราะรัฐบาลเป็นตัวแทนของประชาชน รัฐบาลใช้อำนาจนอกเหนือไปจากประชาชนมอบหมายไม่ได้ ดังนั้นประชาชนจึงมีเสรีภาพที่จะเลือกหรือล้มรัฐบาลได้ 
-ชอง ชาร์ค รุสโซ มองว่าธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์นั่นเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่พอมนุษย์มีเหตุผลมากขึ้น เริ่มมีภาษา มีการแลกเปลี่ยน ทำให้ความความดีงามของมนุษย์โดยธรรมชาติจะหายไป เพราะมนุษย์เริ่มมีการเปรียบเทียบ เริ่มมีการแข่งขัน ความชั่วทั้งหลายเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์มีเหตุผล เกิดการปะทะกันระหว่างคนที่มั่งคั่งกับคนที่ไม่มั่งคั่ง นำมาซึ่งความวุ่นวาย จนมนุษย์ต้องมาทำสัญญาให้คนทุกคนมาอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันหรืออยู่ในสังคมการเมืองเดียวกัน     เมื่อมาอยู่ในสังคมการเมืองจึงเกิดรัฐขึ้นมา โดยรุสโซมองว่าคนมนุษย์ต้องเอาสิทธิทางธรรมชาติมอบให้กับสังคมทั้งหมด เพื่อให้มนุษย์ทุกคนเป็นเจ้าของสังคมการเมือง การเสียสละสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นการเสียสละให้ส่วนรวม เพราะเชื่อว่าเจตนารมณ์ของส่วนรวมหรือ General Will จะเป็น เจตนารมณ์ที่ดี รัฐบาลที่มาจาก General Will จึงเป็นรัฐบาลที่ดี ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐบาลที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ 
    2.เดวิด อีสตัน เจ้าของทฤษฎีระบบ (System Theory) หมายแนวคิดที่นำเสนอว่าระบบการเมืองว่าเหมือนกับระบบสิ่งมีชีวิต ที่ประกอบด้วยระบบย่อยๆ ที่ต้องทำงานประสานงานอย่างสมดุล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่อยู่ภายนอก ถ้าระบบย่อยต่างๆเกิดความไม่สมดุล หรือระบบการเมืองไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ระบบการเมืองนั้นก็จะมีปัญหา 
    เดวิด อีสตัน บอกว่าตามแนวคิดเชิงระบบมองว่าการเมืองประกอบด้วย
1.Political System ซึ่งประกอบด้วย 
1.1 ประชาคมทางการเมือง (ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน)
1.2 ระบอบการปกครอง (เช่นประชาธิปไตย เผด็จการ)
1.3 ผู้มีอำนาจทางการเมือง (รัฐบาล) 
    2.Input หมายถึงปัจจัยที่ป้อนเข้าระบบการเมือง ประกอบด้วย
    2.1 ข้อเรียกร้องของของประชาชน หมายถึงความต้องการต่างๆที่ประชาชนต้องการให้ระบบการเมืองตอบสนอง
    2.2 ข้อสนับสนุนจากประชาชน (ต้องสนับสนุนระบบการเมืองทั้ง 3 ส่วน คือสนับสนุนต่อความเป็นประชาคมทางการเมือง สนับสนุนต่อ ผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือสนับสนุนรัฐบาลรวมทั้งสนับสนุนระบอบการเมือง) 
    3.Out put ผลของการตัดสินใจของผู้มีอำนาจทางการเมือง (หรือรัฐบาล) ซึ่งอยู่ในรูปของนโยบาย กฎหมาย กฎระเบียบ 
    4.Feed Back หมายถึงผลสะท้อนกลับจากผลของการตัดสินใจของผู้มีอำนาจรัฐบาล 
    ระบบการเมืองทุกระบบต้องรักษาสมดุลระบบย่อยๆ เหล่านี้หากไม่สามารถรักษาสมดุลได้ระบบการเมืองนั้นอาจจะล่มสลาย 
3.อัลมอนด์ และ พาวเวลล์  เสนอแนวคิดโครงสร้างหน้าที่ (Structural Functional)
แนวคิดเชิงโครงสร้างหน้าที่บอกว่าในระบบการเมืองจะจะมีโครงสร้างต่างๆปรากฏอยู่ และโครงสร้างทางการเมืองเหล่านี้จะมีหน้าที่ของมันเอง (โครงสร้างของระบบการเมือง เช่นพรรคการเมือง รัฐบาล กลุ่มผลประโยชน์ ระบบราชการ)
โดยในระบบการเมืองจะมีหน้าที่ต่างๆจะมีหน้าที่ คือ
1.หน้าที่ในการสร้างสมรรถนะ ซึ่งประกอบด้วย
-สมรรถนะในการสร้างกติกา (Regulative Capability) หมายถึงระบบการเมืองจะต้องมีความสามารถในการ
-สรรถนะในการดึงดูดทรัพยากรของสังคมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ (Extractive Capability) หมายถึงระบบการเมืองจะต้องสามารถดึงเอาทั้งทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรทางสังคม ทรัพยาการทางการเงินมาใช้ได้
-สมรรถนะในการแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากร (Distributive Capability) เป็นความสามารถของระบบการเมืองที่จะต้องจัดสรรทรัพยากรเพื่อประโยชน์กับประชาชนอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรม
2.หน้าที่ในการเปลี่ยน Input ให้เป็น Output หรือเปลี่ยนความต้องการของประชาชน/หรือความเดือดร้อนของประชาชนให้ออกมาเป็นนโยบาย โครงการที่จะต้องสนองความต้องการหรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
หน้าที่นี้แบ่งได้เป็น 5 ขั้นตอนคือ
    2.1 ขั้นการนำเสนอปัญหา/ความเดือดร้อนของประชาชน (Interest Articulation) เป็นหน้าที่ของประชาชน กลุ่มผลประโยชน์
    2.2 ขั้นการนำความเดือดร้อนต้องการมาหาข้อสรุป (Interest Aggregation) เป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองและระบบราชการ 
    2.3 ขั้นการตัดสินใจกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหา (Policy Making) เป็นหน้าที่ของรัฐบาล 
    2.4 ขั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นหน้าที่ของระบบราชการ 
    2.5 ขั้นการตัดสินตีความ (Policy Adjudication) เป็นหน้าที่ของศาลสถิตยุติธรรม
ทุกระบบการเมืองถ้าสถาบันทางการเมืองต่างทำหน้าที่อย่างดี มีประสิทธิภาพ และทำงานประสานสอดคล้องกันระบบการเมืองนั้นก็จะมีเสถียรภาพ 
3. หน้าที่ในการบำรุงรักษาระบบและปรับตัว เพื่อให้ระบบการเมืองดำรงอยู่ได้การทำหน้าที่นี้ทำผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น
3.1 การเรียนรู้ทางการเมือง (Political Socialization) 
3.2 การสื่อสาร (Communication) ทางการเมือง
    4.ลูเชียน พาย เสนอทฤษฎีพัฒนาการทางการเมือง มองว่าสังคมที่มีการเมืองพัฒนาจะต้องประกอบด้วยลักษณะ 10 ประการคือ
    1.ระบบการเมืองที่พัฒนาจะต้องมีระบบเศรษฐกิจที่พัฒนา
    2.ระบบการเมืองที่พัฒนาจะอยู่ในสังคมอุตสาหกรรม
3.ระบบการเมืองที่พัฒนาคือระบบการเมืองที่ทันสมัย 
4.ระบบการเมืองที่พัฒนาคือการเมืองในระบบรัฐชาติ (ถ้าไม่ใช่รัฐชาติ เช่นเป็นชนเผ่าก็จะไม่พัฒนา)
5.ระบบการเมืองที่พัฒนาจะต้องมีระบบกฎหมายและระบบการบริหารที่พัฒนาด้วย
6.ระบบการเมืองที่พัฒนาจะต้องเป็นระบบการเมืองที่เน้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง
7.ระบบการเมืองที่พัฒนาคือระบบประชาธิปไตย
8.ระบบการเมืองที่พัฒนาคือระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพ (หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องเป็นไปตามกติกา)
9.ระบบการเมืองที่พัฒนาคือระบบการเมืองที่มีความสามารถในการระดมพลังจากประชาชนมาสร้างอำนาจให้กับรัฐชาติ
10.ระบบการเมืองที่พัฒนาจะต้องสร้างมิติที่หลากหลายในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
5.แซมมวล พี.ฮันติงตัน นำเสนอทฤษฎีความทันสมัยทางการเมือง โดยมองว่าการเมืองที่พัฒนาแล้วคือการเมืองที่ทันสมัย ซึ่งจะเกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมที่จะต้องสมดุลกัน หากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไม่สมดุลกับการพัฒนาทางการเมืองกัน จะเกิดปัญหาในระบบการเมือง และนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบรุนแรงได้ เช่น พัฒนาเศรษฐกิจให้คนมีฐานะที่ดีขึ้น พัฒนาสังคมให้คนมีความรู้มากขึ้นแต่การเมืองยังเป็นระบบปิด ไม่เปิดโอกาสให้คนเข้ามีส่วนรวมทางการเมืองคนก็อาจจะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
7.มาร์ติน ลิปเซ็ท นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง โดยบอกว่าการเมืองที่มีประสิทธิภาพหมายถึงระบบการเมืองที่รัฐบาลได้อำนาจมาอย่างชอบธรรม (หมายถึงได้รับการยอมรับจากประชาชน) และต้องมีรัฐบาลที่มีผลงานหรือมีประสิทธิผลในการทำงาน หากไม่มีปัจจัยทั้ง 2 ตัวก็จะเป็นระบบการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ
8.คาร์ล มารกซ์ หรือแนวคิดแบบมาร์กซิสต์ นำเสนอแนวคิดแบบสังคมนิยม โดยมองว่าสังคมที่ดีจะต้องเป็นสังคมที่คนมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งนั้นหมายถึงคนจะต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างเป็นของส่วนรวม เมื่อทุกอย่างเป็นของส่วนรวมคนก็จะทำเพื่อส่วนรวม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน สังคมแบบนี้จะเป็นสังคมที่สงบเพราะผู้คนได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ต้องแข่งขันกัน เมื่อไม่มีการแข่งขันก็ไม่ความขัดแย้ง สังคมนิยมจึงเป็นสังคมที่ไม่ต้องมีรัฐ
แนวคิดของมาร์กซ์ตรงข้ามกับแนวคิดแบบทุนนิยมที่เน้นการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งมาร์กซ์บอกว่าจะทำใหเกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว ซึ่งเขาเชื่อว่าสังคมทุนนิยมเมื่อดำเนินไปเรื่อยๆก็จะถึงทางตันเพราะคนที่ด้อยกว่าในสังคมจะทนไม่ได้และลุกขึ้นมาล้มล้างคนที่รวยกว่า สุดท้ายสังคมก็จะพัฒนาไปสู่สังคมแบบสังคมนิยม (แนวคิดของมาร์กซ์ยังไม่เป็นจริงจนถึงทุกวันนี้)  
    นักคิดในกลุ่มวิชา Plan B
    Plan B เป็นวิชาที่มีนักคิดมากที่สุด จะยกตัวอย่างคนสำคัญๆ นะคะ
1.วู๊ดโรว์ วิลสัน
-เสนอให้แยกการเมืองและการบริหารออกจากกันโดยเด็ดขาด เพื่อให้บริหารงานมีความเสมอภาคเป็นธรรมและมุ่งประโยชน์สาธารณะ  
    -ให้นำระบบคุณธรรมมาใช้ในการบริหารงาน 

2.แมกซ์ เวเบอร์
ได้เสนอหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับองค์การขนาดใหญ่ที่มีแบบแผน ที่เรียกว่า Bureaucracy  โดยเสนอว่าในการบริหารองค์การขนาดใหญ่จะต้องใช้หลักการบริหารที่มีระบบ ซึ่งหมายถึง
-มีการแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน
-การกำหนดสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน
-การทำงานที่เน้นกฎระเบียบที่แน่นอน ชัดเจน
-การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งโดยระบบคุณธรรม 
-ไม่มีการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว ความรู้สึกส่วนตัว ดังนั้นการปฏิบัติงานนั้นจะต้องมีความเป็นทางการ แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน (Formality)
3.เฟรดเดอริก เทเลอร์
ได้นำหลักการวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ใช้ในกิจกรรมทางการบริหาร โดยมีหลักการที่สำคัญคือ
    -การแบ่งงานตามความถนัด
-การจัดบุคคลทำงานตามหลักเวลาและการเคลื่อนไหว
-ค่าตอบแทนแบบจูงใจ
-การควบคุมอย่างใกล้ชิด 
4.กุลลิกและเออร์วิค นำเสนอหลักการบริหารที่เรียกว่า POSDCoRB มองว่าการบริหารที่ดีจะต้องประกอบไปด้วยหลักการต่างๆ คือ การวางแผน กาจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การสั่งการ การประสานงาน การจัดทำรายการ และการจัดทำงบประมาณ
    5.เฮนรี่ ฟาโยล เสนอหน้าที่ของผู้บริหารที่เรียกว่า POCCC คือวางแผนงาน จัดองค์การ สังการ ประสานงาน และควบคุมการทำงาน 
6.ฮิวโก มันสเตอร์เบิร์ก
-ต้องให้คนทำงานตรงกับความรู้ความสามารถ
-สนใจความพร้อมทางอารมณ์ของผู้ปฏิบัติงาน
7.แมรี่ ปากเกอร์ ฟอลเลต ให้ความสนใจกับการสั่งการและการรับคำสั่ง
มองว่าการที่ผู้บริหารจะสั่งการจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปฏิบัติ ผู้บริหารจึงต้องสนใจความคิดและการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติด้วย
8.วิลเลี่ยม เจ. ดิกสัน สนใจกลุ่มที่ไม่เป็นทางการในองค์การ 
9. เชสเตอร์ ไอ.บาร์นาร์ด สนการการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการอันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการในองค์การ
10.ฮับราอัม มาสโลว์ เสนอทฤษฎีความต้องการ 5 ขั้น มองว่าคนจะทำงานเมื่อได้รับการตอบสนองตรงกับความต้องการในแต่ละขั้น
    11.ดักลาส แมกเกรเกอร์ ทฤษฎี X และทฤษฎี Y เสนอว่าการจะทำให้คนทำงานจะต้องรู้จักคุณลักษณะ
12.เฮิร์ตเบิร์ก ทฤษฎี 2 ปัจจัย บอกว่าการจะให้คนทำงานจะต้องสร้างปัจจัย 2 ปัจจัยคือ 
    -ปัจจัยภายในทำให้เกิดการจูงใจ เช่นความสำเร็จในการทำงาน การได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน 
    -ปัจจัยภายนอกที่จำเป็น เช่นเงินเดือน นโยบายการบริหาร เทคนิคการควบคุมงาน 
    แนวคิดส่วนใหญ่ที่กล่าวมาเป็นแนวคิดเก่าๆ แต่การบริหารงานสมัยใหม่จะมีแนวคิดของนักคิดใหม่มากมาย เช่น
    1.เบิร์นและสต๊อคเกอร์ สนใจเรื่องสภาพแวดล้อมขององค์การ เชื่อว่าโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพจะต้องเป็นโครงสร้างที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม โดยเขาแบ่งโครงสร้างองค์การออกเป็น  2 แบบ 
1.โครงสร้างองค์การแบบมีชีวิต (Organic Structure) มีลักษณะ
    -มีความซับซ้อนน้อย
    -มีความเป็นทางการต่ำ
    -มีการกระจายอำนาจ
โครงสร้างแบบนี้จะเน้นการปรับตัวและยืดหยุ่นได้ง่าย 
2.โครงสร้างองค์การแบบเครื่องจักร (Mechanic Structure) เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะ
-มีความซับซ้อนสูง 
-มีความเป็นทางการสูง 
-มีการรวมอำนาจสูงด้วย 
-มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการทำงาน
เบิร์นและสต๊อคเกอร์กล่าวว่าจะเลือกโครงสร้างแบบใดควรจะพิจารณาจากสภาพแวดล้อมโดยเสนอแนะว่า
-ถ้าสภาพแวดล้อม มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ไร้เสถียรภาพ โครงสร้างที่เหมาะสมคือโครงสร้างแบบมีชีวิต
-ถ้าสภาพแวดล้อม นิ่ง มีเสถียรภาพ ควรจะใช้โครงสร้างแบบเครื่องจักร 
2.ปีเตอร์ เซนเก้ เจ้าของแนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้
3.นอร์ตันและแคปแลน เจ้าของแนวคิด Balance Scorecard 
นักคิดในกลุ่ม Plan B
    1.โรเบิร์ต โอ. เคียวเฮน และโจเซฟ เอช. ไน นำเสนอทฤษฎีพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างประเทศ (Interdependence Theory)
มองว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก่อให้เกิดการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในระหว่างประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง 
แต่คำถามในทฤษฎีนี้ก็คือการพึ่งพาดังกล่าวมีความเท่าเทียมกันหรือไม่ ซึ่งนักคิดทั้ง 2 คนมองว่าแม้จะมีการพึ่งพาที่ไม่เท่าเทียมแต่ทุกประเทศก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน 
2. Bela Balassa (เบลา บาลาสซา)เสนอทฤษฎีบูรณาการทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Integration Theory)
    เป็นทฤษฎีที่สนับสนุนให้ประเทศต่างๆมีการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างความร่วมมือในทางเศรษฐกิจ  โดยมองว่าขั้นตอนของการรวมตัวกันหรือบูรณาการกันทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 
1.ความร่วมมือจัดตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Area / Agreement: FTA) 
2.สหภาพศุลกากร (Custom Union) 
3.ขั้นการจัดตั้งเป็นตลาดร่วม (Common Market) 
4.ขั้นการจัดตั้งเป็นสหภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Union) 
5.ขั้นการเป็นสหภาพการเมือง (Political Union) 
3.เอ็มมานูเอล วอลเลอร์สไตน์ นำเสนอทฤษฎีระบบโลก มองว่าระบบโลกจะประกอบด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของประเทศ 3 กลุ่มคือ ประเทศวงใน ประเทศกึ่งรอบนอก และประเทศรอบนอก โดยประเทศวงในจะเอารัดเอาเปรียบและได้ประโยชน์จากประเทศรอบนอกโดยผ่านประเทศกึ่งรอบนอกอีกทอดหนึ่ง ประเทศรอบนอกจึงแย่ที่สุด เพราะจะถูกดูดซับความมั่งคั่งจากประเทศกึ่งรอบนอกและประเทศวงในตลอดเวลา
4.เจ.เอ. ฮอบสัน เสนอทฤษฎีจักรวรรดินิยม (Imperialism)  กล่าวว่าภาวะจักรวรรดินิยมหมายถึงการที่ประเทศใหญ่เข้าครอบงำประเทศที่อ่อนแอกว่า โดยในยุคของฮอบสันนั้นจักรวรรดินิยม เกิดจากประเทศตะวันตกที่มีระบบเศรษฐกิจในระบบอุตสาหกรรมทุนนิยมที่มีผลิตมากเกินไป (Overproduction) แต่มีการบริโภคน้อย (Under-consumption) ทำให้นายทุนให้ขยายตัวออกไปต่างประเทศ ทั้งต้องการหาตลาด และหาวัตถุดิบมาป้อนอุตสาหกรรมในประเทศตะวันตก แต่การเข้าไปนั้นกลับไปเอารัดเอาเปรียบและใช้กำลังในการครอบงำ 
ปัจจุบันแนวคิดจักรวรรดินิยมถูกเรียกว่าจักรวรรดินิยมแบบใหม่ เพราะประเทศตะวันตกยังครอบงำประเทศด้อยพัฒนาอยู่แต่การเข้ามาครอบงำไม่ได้ใช้วิธีการที่รุนแรง แต่ครอบงำผ่านระบบเศรษฐกิจและการส่งออกทางวัฒนธรรม และการครอบงำทางความคิด 
5.ริชาร์ด ชไนเดอร์ ,H.W.Bruk (บรัก) Burton Sapin (ชาปิน)  นำเสนอตัวแบบการตัดสินใจในนโยบายต่างประเทศ ที่เรียกว่า SBS Model (ตั้งชื่อตามชื่อย่อของนักวิชาการทั้ง 3 คน) บอกว่าในการตัดสินใจกำหนดและดำเนินนโยบายต่างประเทศของผู้มีอำนาจจะมีทั้งปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศมาเกี่ยวข้อง
ปัจจัยภายนอกคือ เหตุการณ์การเมืองในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับระหว่างประเทศ
ปัจจัยภายใน มีมากมายตั้งแต่ ประชาชน สื่อมวลชน เหตุการณ์ภายในประเทศ แต่ปัจจัยที่สำคัญทากๆ คือ Perception หรือมุมมองในการมองโลกของผู้นำ
6.อเล็กซานเดอร์ เวนท์ นำเสนอแนวคิดประดิษฐกรรมนิยม (Constructivism) แนวคิด Constructivism เป็นแนวคิดที่ใช้อธิบายในหลายสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ โดยมีความเชื่อพื้นฐานว่าความจริงเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ถูกสร้างขึ้น เช่นเดียวกับความเป็นจริงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ขึ้นอยู่กับการสร้างขึ้นมาจนเชื่อว่าเป็นจริง
8.ราอูล เฟบิช/โดส ซานโตส /อังเดร กุนเดอร์ แฟรงค์/คาร์โดโซ นำเสนอทฤษฎีพึ่งพิงมองว่า ความสัมพันธ์ของประเทศในโลกนี้เป็นแบบพึ่งพิง โดยเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน และประเทศเล็กต้องพึ่งพิงประเทศใหญ่ ขณะที่ประเทศใหญ่เอารัดเอาเปรียบประเทศเล็ก และการที่ประเทศใหญ่พัฒนาได้ก็เพราะเอาความมั่งคั่งไปจากประเทศเล็ก หรือกล่าวว่าประเทศด้อยพัฒนาไม่ได้ด้อยพัฒนาด้วยตนเองแต่ถูกทำให้ด้อยพัฒนา
***นักคิดอื่นๆที่ต้องรู้จัก**
1.อดัม สมิท นำเสนอแนวคิดที่เป็นพื้นฐานของระบบทุนนิยม คือการแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน ว่าจะช่วยให้เกิดผลผลิตที่ดีและมีปริมาณมากขึ้น
2.เดวิด ริคาร์โด นำเสนอการแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศ ว่าจะช่วยให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีระดับโลก และช่วยลดต้นทุนในการผลิต
3.จอห์น เมนาร์ด เคนส์  นำเสนอแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าแนวคิดแบบนีโอคลาสสิก ว่าหากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรัฐต้องเข้าไปแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจ
 
ประพันธ์ เวารัมย์ [101.51.55.xxx] เมื่อ 29/05/2018 20:11
1
อ้างอิง

save
GOod krub Thanks
 
save [183.88.175.xxx] เมื่อ 29/05/2018 20:11
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
รูปประกอบความคิดเห็น :
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
อีเมล์ :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :