สถิติ
เปิดเมื่อ21/09/2014
อัพเดท11/07/2015
ผู้เข้าชม1714668
แสดงหน้า2189540
บทความ
ประวัติ นายประพันธ์ เวารัมย์ (เจ้าของเว็บไซต์)
ประวัตินายประพันธ์ เวารัมย์ เจ้าของเว็บไซต์ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
รู้จัก ด.ช.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ปี 2512
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
เปิดประวัติ พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
ข้อมูลเตรียมสอบปลัดอำเภอ
้ข้อมูลเตรียมสอบปลัด 2
แนวข้อสอบปลัดอำเภอ
คู่มือการดูแลรักษาและคุ้มครองที่สาธารณประโยชน์
เจ้าของเว็บไซต์
โครงสร้างเตรียมสอบปลัดอำเภอ ข้อสอบที่เคยออกปี 2548 และปี 51-55 (สำหรับผู้ใฝ่ฝัน เป็นปลัดอำเภอ)
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
ตู้หนังสือ แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
คู่มือปฏิบัติงานกองอาสารักษาดินแดน
วันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน
​หนังสือคู่มือการทะเบียนราษฎร
เตรียมสอบปลัดอำเภอ
หนังสือสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับท้องถิ่น
ท้องถิ่นกำลังจะแก้ไขหลักเกณฑ์การสอบใหม่
เรื่องทั่้วไป
เว็บไซต์กระทรวงต่างๆ 20 กระทรวง
แบ่งปันความรู้สู่ความก้าวหน้า
ยังจำท่านได้ดี ท่านสิริรัฐ (สถาพร) ชุมอุปการ (นายอำเภอประโคนชัย ปี 2547)
สวัสดีวันพุธ ที่ 24 เดือน กันยายน พ.ศ. 2557 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ เนื้อหาเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 2)
เอกสารเตรียมสอบปลัดอำเภอ (ชุดที่ 1)
หนังสือปฏิบัติงานกรมการปกครอง
คู่มือการปฏิบัติหน้าที่ของกรมการปกครอง ของปลัดอำเภอ
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 5
รวมกฎหมายปกครองที่เล่ม 4
รวมกฎหมายปกครองเล่ม 3
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 1
รวมกฎหมายปกครอง เล่ม 2
ปฎิทิน
April 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
  
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
   




การบริหารทรัพยากรมนุษย์ HUMAN RESOURCE MANAGEMENT

การบริหารทรัพยากรมนุษย์ HUMAN RESOURCE MANAGEMENT
อ้างอิง อ่าน 260 ครั้ง / ตอบ 0 ครั้ง

ประพันธ์ เวารัมย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
HUMAN RESOURCE MANAGEMENT

   
1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์ HUMAN RESOURCE MANAGEMENT
      ทรัพยากรมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งกลายเป็นผลผลิต หรือการบริการตามแต่ละประเภทขององค์การ  ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จและการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่องค์การ  โดยทั่วไปมนุษย์แต่ละคนมีลักษณะหลากหลายแตกต่างกันในด้าน  ความรู้  ทักษะ  ทัศนคติ  ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจต่างๆ  ให้องค์การบรรลุเป้าหมาย   การดำเนินการให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์งานอย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยคุณภาพทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ (พะยอม  วงศ์สารศรี. 2538 : 2)    ดังนั้นผู้บริหารองค์การทุกคนสมควรต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์  เพื่อให้สามารถบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่องค์การ

1.1 ภาพรวมการบริหารทรัพยากรมนุษย์
      “การบริหารงานบุคคล”  ซึ่งเป็นคำเดิมที่เคยใช้มาในอดีตนั้น  เป็นคำที่สื่อถึงการดำเนินกิจกรรมพื้นฐานดั้งเดิม  กล่าวคือ การสรรหา  บรรจุ  แต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน  การดำเนินการทางวินัย ฯลฯ
      ในปัจจุบันความหมายของ “คน” ในองค์กรไปไกลกว่านั้นมาก  ด้วยถือว่าคนเป็น “ทรัพยากร” ที่มีค่าจึงเกิดคำว่า “การบริหารทรัพยากรมนุษย์” ขึ้น  หรือในบางองค์กรมองไกลกว่านั้นอีก  กล่าวคือมองเห็นว่าคนเป็น “ต้นทุน” ที่สำคัญขององค์กร  จึงเกิดคำใหม่ขึ้นมาว่า “การบริหารทรัพยากรบุคคลที่เป็นต้นทุน” หรือ “การบริหารทุนมนุษย์” หรือ “Human Capital Management” ขึ้นอีกหนึ่งคำ
      ดังนั้น  คำว่า “การบริหารทุนมนุษย์” หรือ “การบริหารทรัพยากรมนุษย์” จึงมีความหมายใกล้เคียงกันเนื่องจากมองคนเป็น “ต้นทุน” หรือเป็น “ทรัพยากร” ที่สำคัญขององค์กร
      หากต้นทุนมีน้อย  ก็ต้องเติมให้เต็มหรือทำให้มีมากเพียงพอ
      หากต้นทุนมีจุดบกพร่อง  ก้ต้องพัฒนา  แก้ไข  หรือเพิ่มคุณค่าเพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนอย่างแท้จริง
      หากต้นทุนมีลักษณะที่เข้าข่ายที่เรียกว่า “เสื่อม” หรือพัฒนาไม่ขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด  ก็ต้องหาทางปรับเปลี่ยน  โยกย้าย  หรือแม้กระทั่งต้องดำเนินการผ่องถ่ายออกไป

1.2 ความหมายและความสำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์  หมายถึง  กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ดำเนินงานด้านบุคลากร ตั้งแต่การสรรหา  คัดเลือก  และบรรจุบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ปฏิบัติงานในองค์การ  พร้อมทั้งการพัฒนา  ธำรงรักษาให้สมาชิกที่ปฏิบัติงานในองค์การได้เพิ่มพูนความรู้   ความสามารถ  มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน  และยังรวมไปถึงการแสวงหาวิธีการที่ทำให้สมาชิกในองค์การ  ที่ต้องพ้นจากการทำงานด้วยเหตุทุพพลภาพ  เกษียณอายุหรือเหตุอื่นใดในงาน ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ความสำคัญของการบริการทรัพยากรมนุษย์นั้น  มีอยู่มากมายหลายประการแต่โดยส่วนจะเข้าใจกันเฉพาะในด้านขององค์กรผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ    อย่างไรก็ตาม ธัญญา  ผลอนันต์  (2546:17)  ได้กล่าวถึงความสำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์   ที่นอกเหนือจากด้านองค์กรแล้ว   ยังมีผลต่อด้านบุคลากรตลอดจนสังคมส่วนรวมด้วย   ซึ่งได้อธิบายถึงสำคัญไว้ในแต่ละ  3  ด้าน  ดังต่อไปนี้
      (1)  ด้านบุคลากร    ช่วยให้พนักงานในองค์การได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง  และได้พัฒนาตนเองให้มีความสามารถเชิงสมรรถนะในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่  มีความผาสุกและความพึงพอใจในงาน  เกิดความก้าวหน้า   สามารถทำงานที่ให้ผลการดำเนินการที่ดีมีประสิทธิผล    
      (2)  ด้านองค์กร    ช่วยพัฒนาองค์กร  พนักงานที่มีคุณภาพก็จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ  ตามแนวทางที่ผู้นำระดับสูงวางไว้อย่างมีประสิทธิผล  ทำให้เกิดผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศทั้งด้านบริการและการผลิตสินค้า  องค์กรก็ย่อมจะเจริญก้าวหน้า  มีความมั่นคงและขยายงานออกไปได้ด้วยดี
      (3)   ด้านสังคม   ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่สังคมและประเทศชาติ  เมื่อองค์กรซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมเจริญก้าวหน้าและมั่นคงดี  ก็ส่งผลไปถึงสังคมโดยรวมด้วยเมื่อพนักงานได้พัฒนาตนจนมีความสามารถหารายได้มาช่วยให้ครอบครัวมั่นคงก็ส่งผลดีต่อชุมชน  
1.3 ปรัชญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์
โดยปกติมนุษย์จะตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นตามความคิด  ความเชื่อ และค่านิยมที่อยู่ในตัวของเขา  โดยมีแนวความคิดที่เป็นพื้นฐานว่าสิ่งที่เลือกทำเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  ซึ่งสิ่งที่เป็นพื้นฐานของความคิดก็คือ  ปรัชญาประจำตัวนั้นเอง   การบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นกัน ผู้บริหารหรือผู้จัดการก็จะต้องมีปรัชญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ปรัชญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ประกอบด้วย
1)   หลักคุณธรรม (Merit - Based)
2)   หลักสมรรถนะ (Competency - Based)   
3)   หลักผลงาน (Performance - Based)
4)   หลักการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบ (HR Decentralization)
5)   หลักคุณภาพชีวิตในการทำงาน (Quality of Work Life)
 
1) หลักคุณธรรม (Merit - Based) : หลักคุณธรรมหรือระบบคุณธรรมใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ  หลักคุณธรรมประกอบด้วย 4 หลักใหญ่ คือ
(1)   หลักความเสมอภาค คือ เสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่คำนึงถึงผิวพรรณ  เชื้อชาติ  เพศ ฯลฯ
(2)   หลักความสามารถ การบริหารคนหมู่มากต้องมีวิธีวัดความสามารถ ซึ่งปัจจับันเปลี่ยนมาเป็นหลักผลงาน และหลักสมรรถนะ
(3)   หลักความเป็นกลาง หมายถึง การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่คำนึงถึงฝ่ายใด  ข้าราชการเป็นกลไกรัฐ  ต้องทำงานตามนโยบายของรัฐบาล  แต่บางครั้งถูกมองว่ารับใช้หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  ซึ่งอาจมีผลกระทบกับความมั่นคงในอาชีพราชการ
(4)   หลักความมั่นคง  หมายถึง  การรับรองการเป็นอาชีพ  มีทางก้าวหน้า  มีค่าตอบแทน  และสวัสดิการที่เหมาะสม  ที่เกียรติและศักดิ์ศรี
2) หลักสมรรถนะ (Competency - Based) : หมายถึง ใช้คนให้ตรงกับความรู้ความสามารถ (Put the Right Man on the Right Job) โดยการศึกษา  และกำหนดความรู้ความสามารถที่ต้องการสำหรับตำแหน่งต่างๆ แล้วนำไปสรรหาพัฒนาให้ได้บุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่ง
3) หลักผลงาน (Performance - Based) : คือ การบริหารโดยยึดผลงานเป็นหลัก  หมายความว่าจะให้คุณให้โทษใครให้ดูที่ผลงาน  ตรงนี้มาจากภาคธุรกิจ  ถามว่าราชการยึดผลงานอย่างเดียวได้ไหม  คำตอบคือคงไม่ได้  จะต้องมีปัจจัยอื่นๆ หรือแม้แต่ทางธุรกิจเหมือนกันต้องมองทั้ง Input ที่ใส่เข้าไปในการทำงาน Output ที่เกิดขึ้น รวมทั้งทัศนคติ (Attitude) และวิธีการทำงานของเขา  ต้องโปร่งใส  แต่อย่างไรก็ตาม ก็ให้เน้นผลงาน ให้ยึดผลงานเป็นหลัก
4) หลักการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบ (HR Decentralization) : คือให้ร่วมกันรับผิดชอบ  เวลาถามว่าใครเป็น HR Manager ใครเป็น Personnel Manager ถ้าเป็นยุคก่อนคำตอบคือ หัวหน้าการเจ้าหน้าที่  แต่คำตอบยุคนี้คือผู้บริหารนั้นเอง หรือ Line Manager นั้นเอง  ที่เป็น HR Manager ในตัวเอง ต้องรู้หลักต้องบริหารได้ 
5) หลักคุณภาพชีวิตในการทำงาน (Quality of Work Life) : คือ ในการทำงานมี Work Life กับ Home Life ทำอย่างไรให้สมดุลกัน (Balance)

1.4 เป้าหมายของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
      เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มี 4 วัตถุประสงค์หลัก คือ สรรหา พัฒนา  รักษาไว้  ใช้ประโยชน์

สรรหา   คือ หาคนดีคนเก่งเข้ามาทำงาน  การสรรหาประกอบด้วยการสรรหาแบบตั้งรับหรือแบบดั้งเดิม  และการสรรหาเชิงรุก 
พัฒนา   คือ รับเข้ามาแล้วพัฒนาให้เป็นคนดี  คนเก่งยิ่งๆ ขึ้นไปอีก  การที่จะพัฒนาให้เก่งขึ้นไปอีกต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร  เข้ามีความถนัด  มีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร  ก็ต้องไปทำสิ่งที่เรียกว่า Career Planning ทำ IDP หรือ Individual  Development Plan ระบบพัฒนาเป็นเรื่องที่จำเป็นในการสร้างคน  ต้องพัฒนาอย่างทั่วถึงทั้งองค์กร  พัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
รักษาไว้     คือ รักษาไว้ให้อยู่กับเราเป้นเรื่องการจัดการทางก้าวหน้าในอาชีพ  การมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม  การสร้างความพึงพอใจและเป็นผู้รักองค์กร
ใช้ประโยชน์   คือ การใช้คนให้ตรงกับงาน  ให้ความเป็นอิสระและมีส่วนร่วม  ให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

1.5 ภารกิจ 10 ประการของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
      หลักวิชาหรือศาสตร์ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์  อาจจำแนกได้เป็น 10 กลุ่มภารกิจ ดังนี้
      1. โครงสร้างองค์กร (Organization Structure) จะเกี่ยวกับการออกแบบองค์กรและการจัดระบบงานในองค์กรซึ่งในราชการไทยปัจจุบัน มีคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ คือ กพร. จะช่วยดูแลเกี่ยวกับการจัดตั้งปรับปรุงองค์กร
      โครงสร้างองค์กร  คือ แผนภูมิแสดงตำแหน่งทั้งหมดในองค์กร แสดงความสัมพันธ์ของอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน หรือแสดงความเชื่อมโยงทั้งแนวตั้งและแนวนอนของตำแหน่งทั้งหมด รูปแบบของการจัดองค์กรรวมและของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลเองก็ขึ้นกับปัจจัยภายในและภายนอกหลายอย่าง และ     ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุกองค์กร  นอกจากนี้การจัดทำโครงสร้างองค์กร จะสามารถระบุได้ว่าตำแหน่งใดในองค์กรมีหน้าที่อะไรต่อไป ซึ่งจะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการออกแบบกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรให้สอดคล้องต่อโครงสร้างองค์กรไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอำนาจหน้าที่  โครงสร้างการบังคับบัญชา และโครงสร้างอัตรากำลัง เพื่อให้การกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เป็นอุปสรรคในการการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละบทบาทภารกิจของทรัพยากรบุคคล
      2. การวางแผนกำลังคนและการสรรหาบุคลากร (Workforce Planning and Recruitment) เกี่ยวข้องกับ
         (1) Redeployment of resource เกลี่ยทรัพยากร  อาจใช้วิธีเกลี่ยตำแหน่ง  หรือเกลี่ยคนไปทำงานที่เหมาะสม
         (2) Retirement Bubble คือ การรักษาผู้อยู่ในช่วงวัยกำลังจะเกษียณอายุไว้ในองค์กร  จะถ่ายทอดอย่างไรหรือจะรักษาเขาไว้ได้อย่างไร
         (3) Organization Size เป็นการพิจารณาว่าขนาดขององค์กรควรจะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่  หรืออาจว่าจ้างจากภายนอก
         (4) War for Talent การรักษากำลังคนในสาขาที่ขาดแคลนหรือหายากไว้ในองค์กร  จะต้องมีการสรรหาในเชิงรุก  และการเพิ่มพูนแรงจูงใจ
      3. การฝึกอบรม  การพัฒนา  และการจัดการความรู้(HRM–Training and Development  /Knowledge Management) กลุ่มนี้สอดคล้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคล คือ สรรหา พัฒนา  รักษาไว้  ใช้ประโยชน์  และเพิ่มเรื่อง Knowledge Management – KM เข้าไป  ยุคปัจจุบันพูดถึงการบริหารองค์ความรู้  การจัดการความรู้  เนื่องจากความรู้ทุกด้านไม่ใช่เฉพาะด้าน HR เท่านั้น  ความรู้ในแต่ละด้านมีการเคลื่อนตัวไปเร็วมาก  บางเรื่องเคลื่อนตัวไปจนกระทั่งความรู้เดิมที่มีอยู่ใช้ไม่ได้เลย  จึงต้องสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเป็นคุณค่าหลักในการทำงาน
       4. การวางแผนทดแทนตำแหน่ง/การหมุนเวียนงาน (Succession Plan/Staff Rotation) การบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กรควรมีการวางแผนทดแทนตำแหน่ง  หรือพูกง่ายๆ คือ มีแผนสืบทอดตำแหน่งหรือการสร้างตัวตายตัวแทนนั่นเอง  โดยจะต้องมีการพิจารณาผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่วนั้นๆ เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนทดแทนตำแหน่ง  ก็คือฐานข้อมูลกำลังคน (Talent Inventory HR Database) มีการบริหารจัดการผู้ที่มีความรู้ความสามารถ (Talent Management) 
      5. การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) หรือ PM เป็นการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยยึดผลงานเป็นหลัก  มีการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด  ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ทำงานบรรลุเป้าหมาย
      6. การกำหนดภารกิจอย่างมีเป้าหมายและการวัดผลงานบุคคล (Individual KPI) หลักเบื้องต้นของการบริหารผลการปฏิบัติงานนั้นใช้กับองค์กร  กล่าวคือ องค์กรต้องมีเป้าหมายว่าต้องทำอะไรให้เสร็จ  ในระดับไหน  มีคุณภาพอย่างไร  จากนั้นก็นำมาใช้กับบุคคล  มีตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานรายบุคคล (Individual KPI) และนำผลไปใช้ในการให้คุณให้โทษ  ตลอดจนการพัฒนาบุคคล
      7. การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ (Pay Administration) ต้องคำนึงถึงความเสมอภาคภายนอก (Ex-ternal Equity) และความเสมอภาคภายใน (Internal Equity) รวมถึงต้องใช้กลไกตลาด (Market Mechanism) เข้ามาพิจารณาด้วย
      8. การสื่อสารความรู้ความเข้าใจทั่วทั้งองค์กร ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล (HR Manager) ที่ต้องสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในองค์กรให้ทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิประโยชน์ ทางก้าวหน้าหรือเงื่อนไขในการทำงาน
      9. คุณภาพให้บริการ ถือเป็นหน้าที่ของ HR Manager ด้วยที่ต้องให้ความสำคัญต่อลูกค้าหรือผู้รับบริการและเน้นย้ำหลักการเรื่องนี้ต่อผู้ปฏิบัติงานทั่วทั้งองค์กร
      10. การพัฒนาและใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้องค์กรทันสมัยและใช้ข้อมูลบนฐานเดียวกันในการบริหารงาน
      
1.6 กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์  หมายถึง  องค์ประกอบที่ใช้ในการดำเนินงานต่างๆ  เกี่ยวกับบุคลากร  ซึ่งประกอบไปด้วย
    1)  การวางแผนทรัพยากรมนุษย์  
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์  หมายถึง  การคาดคะเนความต้องการกำลังคนขององค์กรล่วงหน้าว่าต้องการคนประเภทใด  ระดับใด  จำนวนเท่าไร  และต้องการเมื่อไร  และมีปัจจัยใดบ้างเป็นเครื่องกำหนดการวางแผนกำลังคน
      การวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั้นเป็นกระบวนการในการพิจารณากำหนดทิศทางและวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์และสามารถบรรลุเป้าหมายขององค์การได้  ดังนั้นการวางแผนทรัพยากรมนุษย์จึงเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางในการดำเนินงานด้านทรัพยากรมนุษย์ให้ถึงจุดหมายอย่างมีประสิทธิภาพและไม่หลงทาง
      1.1) ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (พะยอม  วงศ์สารศรี. 2538 : 51 – 52)  
(1) ช่วยให้องค์การสามารถวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(2) ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
(3) ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากร
(4) ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) ส่งเสริมและพัฒนาโอกาสความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
(6) เป็นแนวทางสำหรับองค์การที่มีหน้าที่ผลิตจะได้ผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน
     1.2) กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
อย่างไรก็ตามการวางแผนทรัพยากรมนุษย์นั้น  เป็นการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือสิ่งที่ควรจะเป็นในอนาคตขององค์กร  ซึ่งการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำนั้น  ต้องอาศัยกระบวนการในพิจารณาอย่างรอบด้าน  เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เหมาะสมสอดคล้องกับองค์กรในอนาคต  ดังนั้นพะยอม  วงศ์สารศรี ( 2538 : 52 – 57) จึงได้สรุปขั้นตอนการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ไว้ ดังนี้ 
(1) การพิจารณาเป้าหมาย และแผนขององค์การ (Goals and plans of Organization) งานขั้นแรกสำหรับนักวางแผนทรัพยากรมนุษย์จะกระทำ คือ การศึกษาและพิจารณาแผนกลยุทธ์ที่องค์การได้กำหนดไว้ศึกษานโยบายสาธารณะ แนวโน้มทางด้านการเมือง  สภาพเศรษฐกิจ สังคมตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อที่จะนำผลของการศึกษาเหล่านี้มาจัดวางข้อมูลด้านบุคคลที่ควรจะเป็นในอนาคตได้อย่างเหมาะสม
(2) การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน(Current Human Resource Situation) สำรวจจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีอยู่ โดยจำแนกออกตามประเภทต่างๆ เช่น ตามลักษณะของงาน ตามแผนก ตามอายุ ตามระดับการศึกษา เป็นต้น
(3) การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Forecast) ในขั้นนี้ นักวางแผนทรัพยากรมนุษย์จะพิจารณาถึงจำนวน และประเภทของพนักงานที่องค์การต้องการ พร้อมทั้งจำนวนและประเภทของคนที่ต้องจ้างใหม่ ในขั้นนี้จะต้องพิจารณาให้ละเอียด ตรวจสอบพนักงานที่จะครบเกษียณอายุ การโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง จะได้ทราบจำนวนและประเภทของพนักงานที่มีอยู่จริงๆ ว่ามีจำนวนเท่าไร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนที่องค์การทั้งหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงานใหม่ในกลุ่มใดบ้าง และในระยะเวลาใด
(4) การกำหนดแผนปฏิบัติการ (Implementation Programs) หลังจากได้มีการคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกำหนดออกมาเป็นแผนปฏิบัติการของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ เช่น แผนการสรรหาพนักงาน แผนการคัดเลือกและบรรจุพนักงาน แผนการประเมินผลการปฏิบัติงาน แผนการโอนย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การฝึกอบรม และพัฒนา เป็นต้น
(5) การตรวจสอบและการปรับปรุง (Audit and Adjustment) ในขั้นนี้เป็นการตรวจสอบความเหมาะสมและความก้าวหน้าของแผนปฏิบัติงาน การเปรียบเทียบแผนต่างๆ การแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง การเปลี่ยนแปลงแผนทรัพยากรมนุษย์ และถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแผนขององค์การ การจัดทำดัชนีแรงงานที่ทันสมัยควรได้รับการพิจารณาศึกษา ทั้งนี้เพราะข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญของการวางแผน

2)  การสรรหาและการคัดเลือก   
การสรรหาและการคัดเลือก หมายถึง  กระบวนการการดำเนินงานขององค์กรจัดทำขึ้นเพื่อมุ่งจูงใจผู้สมัครที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานในองค์กรของตน   อันได้แก่  แหล่งที่ใช้ในการสรรหา  ระยะเวลาในการสรรหา   วิธีการที่ใช้ในการสรรหาบุคลากร  และการตัดสินใจคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน
      การสรรหาและการคัดเลือกบุคลากรเป็นวิธีการที่จะให้ได้บุคลากรมาร่วมงาน  จึงถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด  ทั้งนี้เพราะว่าการได้มาซึ่งคนดี  มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงานมาทำงานก็จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ  ดังนั้นองค์การแต่ละองค์การจึงต้องให้ความสนใจในการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ จากแหล่งต่างๆ โดยเพื่อทำการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานให้เข้ามาร่วมงานกับองค์การได้อย่างเหมาะสม
      การสรรหา หมายถึง กระบวนการในการแสวงหาบุคคล  การชักจูงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ และมีทัศนคติที่ดีต่อองค์การเข้ามาสู่องค์การ โดยให้เกิดความสนใจมาสมัครงานในตำแหน่งที่ต้องการกับองค์การ เพื่อองค์การจะได้คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
      การคัดเลือก หมายถึง กระบวนการในการหาวิธีการกลั่นกรองที่เป็นมาตรฐาน เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกบุคคลที่เชื่อถือว่าจะให้ได้บุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานมากที่สุด รวมทั้งให้เกิดความยุติธรรมในการคัดเลือกบุคลากร
      Niglo  Felix A (1959 : 134 - 136) อธิบายว่า ในการสรรหาบุคลากรนั้น  องค์การมีนโยบายในการสรรหาซึ่งแบ่งได้เป็น  2  ประเภท  คือ
(1) นโยบายแบบเปิด  ซึ่งมีสาระสำคัญคือ 
-  เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความสามารถ  และมีคุณสมบัติเหมาะสมตามตำแหน่งที่ว่าง  เข้ามางานได้โดยเสมอภาค
-  เปิดรับสมัครงานทุกวันและเวลาที่องค์การเปิดทำการ  ไม่ว่าในขณะนั้นจะมีตำแหน่งว่างหรือไม่ก็ตาม
-  เปิดโอกาสให้บุคคลเข้ามาสมัครได้ทุกระดับชั้น  ถ้ามีคุณสมบัติตามที่ต้องการไม่จำกัดว่าต้องไปเริ่มต้นทำงานที่ขั้นต้น  หรือขั้นต่ำสุดก่อน  สามารถเริ่มต้นทำงานในขั้นสูงได้เลย
-  เปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ  ประสบการณ์ และความชำนาญในงานสมัครเข้าทำงานได้  ถึงแม้ว่าระดับการศึกษาจะไม่ถึงมาตรฐานขั้นต่ำของตำแหน่งที่กำหนดเอาไว้
(2) นโยบายแบบปิด  ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
      -  เปิดโอกาสให้ผู้สำเร็จการศึกษาตามระดับที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานเท่านั้นเข้ามาสมัครในตำแหน่งต่ำสุดของระดับนั้นก่อน  แล้วจึงเลื่อนไปสู่ขั้นสูงต่อไป
      -  เปิดรับสมัครบุคคลเข้าทำงานเฉพาะตำแหน่งว่างเท่านั้น
   2.1) หลักเกณฑ์ของการสรรหา
      ศิวาพร  มัณฑุกานนท์ (2528 : 52) ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ที่เป็นที่นิยมใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ  เพื่อใช้ในการสรรหาผู้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานมีอยู่    4  ประการ  คือ
     (1) หลักความสามารถ (Competence)  หมายถึงการยึดถือความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ในการเลือกสรรบุคคลเข้าทำงาน  การสอบแข่งขัน  การคัดเลือก  การบรรจุแต่งตั้ง  การพิจารณาความดีความชอบ  และการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
     (2) หลักความเสมอภาค (Equality  of  Opportunity)  หมายถึง  การเปิดโอกาสเท่าเทียมกันแก่ผู้ที่คุณสมบัติตามความต้องการ  หรือที่กำหนดไว้ในการรับสมัครเข้าทำงาน  โดยไม่คำนึงถึงชาติตระกูล  ศาสนาหรือผิวพรรณ  และกำหนดเงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติงาน  ยึดหลักการที่ว่า  งานที่มีลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบเท่าเทียมกันหรือคล้ายคลึงกัน  ควรได้รับค่าตอบแทนเท่ากันและได้สัดส่วนเท่ากับปริมาณงาน
     (3) หลักความมั่นคง (Security  on  Tenure)  หมายถึง  การมีหลักประกันที่จะสามารถยึดถือเป็นอาชีพตลอดไป  จนกว่าจะเกษียณอายุ  หรืตราบเท่าที่ยังคงรักษาระดับมาตรฐานหรือความสามารถในการปฏิบัติงานไว้ได้  การให้ออกจากงานต้องมีเหตุผล
     (4) หลักความเป็นกลางทางการเมือง (Political  Neutrality)  หลักข้อนี้ไม่มีความสำคัญสำหรับการบริหารธุรกิจ  แต่มีความสำคัญมากสำหรับข้าราชการ ข้าราชการประจำจะต้องปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเท่านั้น

   2.2) แหล่งที่มาในการสรรหาบุคลากร  
   ณัฎฐพันธ์  เขจรนันทน์  (2547 : 93-94)  ได้จำแนกแหล่งที่มาในการสรรหาบุคคลได้  2  แหล่ง  คือ
   (1) การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การ  องค์การสามารถสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ทักษะ  และประสบการณ์จากภายในองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ว่างลง  หรือตำแหน่งที่เปิดขึ้นใหม่  โดยที่การสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การจะมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
   ข้อดี    ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
      -  สร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่พนักงาน
      -  ประหยัดค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรขององค์การ
   ข้อเสีย   ของการสรรหาบุคลากรจากภายในองค์การมีดังต่อไปนี้
   -  ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ในการประเมินโอกาส  การแก้ปัญหา และการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางธุรกิจ
   -  ไม่สามารถสรรหาบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่มีความต้องการบุคลากร
   -   ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรขึ้นภายในองค์การ
(2) การสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การ  องค์การจะทำการสรรหาบุคลากรที่มีความเหมาะสมจากภายนอกองค์การเพื่อเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งงานที่ว่าง  โดยการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การจะมีข้อดี และข้อเสีย ที่ต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
   ข้อดี  ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
   -  สร้างความหลากหลายในการวิเคราะห์  โอกาส  การแก้ปัญหา  และการพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ
   -  สร้างโอกาสในการคัดเลือกบุคลากรที่มีความเหมาะสมในแต่ละหน้าที่งาน
   -  แก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนบุคลากรภายในองค์การทั้งในด้านของจำนวนและคุณสมบัติ
   ข้อเสีย   ของการสรรหาบุคลากรจากภายนอกองค์การมีดังต่อไปนี้
   -  สิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่ายในการเตรียมการขององค์การ
   -  มีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของบุคลากร
   -  ไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศในการปฏิบัติงานขององค์การ
   
   2.3) ระบบการคัดเลือกบุคคล เข้าทำงานซึ่งสามารถจำแนกเป็น  2  ระบบใหญ่ๆ (พะยอม           วงศ์สารศรี. 2538 : 162)  คือ
      (1) ระบบคุณธรรม (Merit  System)  หรือระบบความรู้ความสามารถ   หรือระบบความดี ความสามารถ  เป็นวิธีการที่ต้องการให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน  วิธีการสำคัญของระบบคุณธรรม  คือการทดสอบ
      (2) ระบบอุปถัมภ์  (Patronage  System)  เป็นระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม  เป็นระบบพรรคพวก  ระบบชุบเลี้ยง  ระบบสืบสายโลหิตเดียวกัน

   2.4) กระบวนการในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน
   การให้ได้มาซึ่งบุคลากรที่เหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์กรถือเป็นสิ่งสำคัญ  เพราะหากได้คนที่ไม่เหมาะสมเข้ามาในองค์กรย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวองค์กรเอง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียค่าใช้จ่าย  เวลา  ผลผลิต  และประสิทธิภาพในการดำเนินกิจกรรมแล้ว  ยังส่งผลต่อขวัญกำลังใจของบุคลากรในการทำงานอีกด้วย   ดังนั้นกระบวนการในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานนั้นจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างรัดกุม โดยได้ลำดับขั้นตอนไว้ดังต่อไปนี้ 
(1)   การเริ่มต้นการรับสมัคร  
(2)   การสัมภาษณ์ขั้นต้น  
(3)   การกรอกใบสมัคร  
(4)   การสอบคัดเลือก หรือการทดสอบการทำงาน
(5)   การสอบสัมภาษณ์ เข้าทำงานโดยฝ่ายบุคคล
(6)   การสอบประวัติเดิมของผู้สมัคร
(7)   การตรวจสุขภาพ     
(8)   การคัดเลือกขั้นสุดท้าย  โดยฝ่ายบริหารหรือผู้บังคับบัญชา
Mondy  R. Wayne et al. (1996 : 223 - 238) ได้อธิบายถึงการคัดเลือกบุคลากรสามารถดำเนินการด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ 
(1)   การทดสอบความสามารถสติปัญญา
(2)   การทดสอบความรู้เฉพาะตำแหน่ง  หรือการทดสอบความสำเร็จ
(3)   การทดสอบให้ปฏิบัติงานย่อยๆ
(4)   การทดสอบความสนใจในงาน
(5)   การทดสอบบุคลิกภาพ
(6)   การสัมภาษณ์

   3)  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  หมายถึง  กระบวนการที่จัดทำขึ้นเพื่อให้บุคลากรได้เรียนรู้   ปรับทัศนคติในการทำงาน  และให้มีความชำนาญในการปฏิบัติงานมากขึ้น
ดนัย เทียนพุฒ (2545 : 26)  ได้ให้ความหมายของ  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง   การดำเนินงานที่จะส่งเสริมให้พนักงานมีความความสามารถ ทัศนคติ และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะรับผิดชอบในตำแหน่งที่สูงขึ้น ทั้งนี้การพัฒนาพนักงานมิได้มีวัตถุประสงค์เพียง เพื่อให้พนักงานมีความรู้ความชำนาญในงานปัจจุบันเท่านั้น แต่มีความมุ่งหมาย เพื่อให้พนักงานได้ก้าวหน้าและเติบโตต่อไปในอนาคตด้วย 
      ดังนั้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะครอบคลุมใน 3 เรื่องด้วยกันคือ การฝึกอบรม (training) การศึกษา (education) และการพัฒนา (development)
   3.1) ความสำคัญของการพัฒนาบุคลากร มี 6 ประการ (กุลธน ธนาพงศธร. 2532 : 169–171) คือ
(1)   ช่วยทำให้ระบบ และวิธีการปฏิบัติงานมีสมรรถภาพดียิ่งขึ้นมีการติดต่อประสานงานดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพราะการพัฒนาบุคคลจะช่วยเร่งเร้าความสนใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรให้มีความสำนึกรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น
(2)   ช่วยทำให้เกิดการประหยัด ลดความสิ้นเปลืองของวัสดุที่ใช้ในการปฏิบัติงานทั้งนี้เพราะเมื่อบุคคลใดได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีแล้วย่อมสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง 
(3)   ช่วยลดระยะเวลาของการเรียนรู้งานให้น้อยลง    อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดความเสียหายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานแบบลองถูกลองผิดอีกด้วย
(4)   ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ในการตอบคำถามหรือให้คำแนะนำแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน  ในกรณีที่มีบุคลากรเข้าทำงานใหม่ หรือเข้ารับตำแหน่งใหม่ในหน่วยงาน   
(5)   ช่วยกระตุ้นบุคลากรต่างๆ ให้ปฏิบัติงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ การงาน ทั้งนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้ว เมื่อมีการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งใดๆ ในองค์การก็ตาม มักจะคำนึงถึงความรู้ความสามารถที่บุคคลนั้นจะสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ได้รับการเลื่อนขึ้นได้ ซึ่งผู้ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ย่อมมีโอกาสมากกว่าผู้ที่มิได้เข้ารับการพัฒนา
(6)   ช่วยทำให้บุคคลนั้นๆ มีโอกาสได้รับความรู้ ความคิดใหม่ๆ ทำให้เป็นคนทันสมัยทันต่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ 
ขั้นตอนการพัฒนาบุคลากร มี  5  ขั้นตอน  ดังต่อไปนี้
(1)   การสำรวจความต้องการ
(2)   การกำหนดวัตถุประสงค์ของการพัฒนาบุคลากร
(3)   การกำหนดรูปแบบในการพัฒนาบุคลากร
(4)   การดำเนินการพัฒนา
(5)   การประเมินผล
นอกจากนี้  รูปแบบวิธีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น   มีรูปแบบที่หลากหลายในการพัฒนา  การเลือกใช้รูปแบบใด  เวลากับบุคลกรระดับใด  ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด  รูปแบบที่สำคัญได้แก่
(1)   การศึกษาในสถาบันการศึกษา
(2)   การฝึกอบรมก่อนหรือในขณะปฏิบัติงาน
(3)   การปฐมนิเทศผู้ปฏิบัติงานใหม่
(4)   การสอนแนะนำงาน
(5)   การฝึกปฏิบัติหรือการดูงาน
(6)   การประชุมสัมมนา
(7)   การย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่ง
(8)   การมอบหมายภารกิจใหม่ๆ 
(9)   การเลื่อนตำแหน่ง
(10)   กิจกรรมอื่นๆ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

   4)  การบริหารค่าตอบแทน  
การบริหารค่าตอบแทน  หมายถึง  การกำหนดปัจจัยต่างๆ  เป็นหลักเกณฑ์กำหนดค่าจ้างเงินเดือน รวมถึงการจัดสวัสดิการให้แก่บุคลากร 
การบริหารค่าตอบแทนถือเป็นกลไกสำคัญในการธำรงรักษาทรัพยากรมนุษย์ให้อยู่กับองค์กร  นอกจากนี้ค่าตอบแทนยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรและความพึงพอใจในการทำงานอีกด้วย
ค่าตอบแทน (Compensation) เป็นคำกว้างๆ หมายถึง ค่าแรง ค่าจ้าง เงินเดือน หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่องค์กรให้แก่พนักงาน เพื่อตอบแทนการทำงาน หรืออาจหมายถึง ค่าทดแทนที่องค์กรจ่ายเป็นค่าตอบแทนความสูญเสียต่างๆ ของพนักงาน ซึ่งรวมทั้งจ่ายทางตรงและทางอ้อมเป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
ธัญญา  พลอนันต์ (2546 : 36)ได้ให้ความหมายของ  การบริหารค่าตอบแทน ว่าหมายถึง   การกำหนดนโยบาย การวางแผนและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทน ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่พนักงาน 
ดังนั้นการบริหารค่าตอบแทน จึงมีความหมายรวมถึง ค่าจ้างเงินเดือน ผลประโยชน์และบริการ   และค่าตอบแทนทางสังคม


4.1) ส่วนประกอบของค่าตอบแทน (พะยอม  วงศ์สารศรี. 2538 : 180 – 185) คือ
(1)   ค่าตอบแทนที่เป็นรูปเงิน (Money Pay) การจ่ายค่าจ้างเป็นเงินได้ถือปฏิบัติกันมาเป็นปกติ วิสัย เพราะเงินคือสื่อกลางแห่งการแลกเปลี่ยนที่ทุกคนทำงานก็หวังจะได้เงินมา
เงินจึงเป็นสินจ้างรางวัลล่อใจ ก่อให้เกิดความพอใจและส่งเสริมให้เกิดการทำงาน นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบริหารค่าตอบแทน ในรูปแบบของเงินเดือน และค่าจ้าง
   เงินเดือน   หมายถึง  ค่าตอบแทนที่เป็นรายได้ประจำที่บุคลากรจะได้รับในอัตราคงที่ภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด โดยรายได้นี้จะไม่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนชั่วโมงทำงาน หรือปริมาณของผลผลิตของบุคลากร
   ค่าจ้าง   หมายถึง  ค่าตอบแทนที่บุคลากรได้รับโดยถือจากเกณฑ์ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเป็นหลัก เช่น ค่าจ้างรายวัน ค่าจ้างรายชั่วโมง เป็นต้น
   (2) ค่าตอบแทนที่เป็นรูปความสำคัญของงาน (Power Pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม  คือ จ่ายค่าตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่ เพราะงานนั้นคือหัวใจของบริษัท เป็นงานที่จะต้องทำให้เสร็จหรือไม่มีใครจะสามารถทำได้  เมื่อมอบอำนาจการตัดสินใจให้เขาเพื่อให้เขาทำงานให้สำเร็จ พนักงานผู้นั้นจะต้องตระหนักว่าผลิตภัณฑ์ที่เขาประกอบขึ้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด   ซึ่งเราถือว่าพนักงานผู้นั้นได้รับค่าจ้างเป็นรูปความสำคัญของงาน
   (3) ค่าตอบแทนที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น (Authority Pay) ผู้ที่ได้รับอำนาจและตำแหน่งหน้าที่ใหม่ที่ได้รับเลื่อนขั้นมานี้ถือว่าบริษัทได้จ่ายค่าตอบแทนทางสังคมให้อย่างหนึ่ง ซึ่งในบางครั้งมีความสำคัญมากกว่าเงินและเป็นที่ใฝ่หาของพนักงานที่จะก้าวขึ้นไปสู่ระดับบริหาร และสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นแก่พนักงานได้เป็นอย่างดี
   (4) ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง (Status Pay) ฝ่ายบริหารจะให้ความสำคัญยกย่องแก่พนักงานในตำแหน่งหน้าที่การงานที่เขาประจำอยู่สอดคล้องกับค่านิยมและการยอมรับทางสังคม   ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารว่าจะมีความนึกคิดในการจ่ายค่าจ้างในรูปค่าฐานะ ค่าเกียรติและศักดิ์ศรีให้เป็นกำลังใจแก่พนักงานของตนแค่ไหนเพียงใดด้วย
   (5) ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี (Meta-goals Pay) พนักงานที่เลือกทำงานในบริษัทที่มั่นคงและทันสมัย ซึ่งมีวัตถุประสงค์และหลักการดีเยี่ยม (Supra-goals) ก็เท่ากับพนักงานผู้นั้นได้รับค่าจ้างตอบแทนในรูปความมั่นคงและก้าวหน้า   ได้แก่
(5.1)   หลักความพอเพียง (Adequacy)คือ การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด กล่าวคือ จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆ ไป
(5.2)   หลักความยุติธรรม (Equity)ซึ่งบางครั้งรวมไปถึงจริยธรรมของมนุษย์ที่ยากจะควบคุมได้   เพราะถือเป็นการสร้างความพึงพอใจและรักษาไว้พนักงานให้อยู่กับองค์กร
(5.3)   หลักดุลยภาพ (Balance) หลักดุลยภาพ หมายถึง ความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม กลุ่มงานที่มีลักษณะคล้ายกันควรได้ค่าจ้างเท่ากัน 
(5.4)   หลักควบคุม (Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน   และเป็นเครื่องมือนำทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจไว้ได้ 
(5.5)   หลักความมั่นคง (Security) หลักความมั่นคงหรือเสถียรภาพในความหมายของค่าจ้างเงินเดือนนั้น หมายถึง การปรับปรุงสิ่งที่จะมาคุ้มครองลูกจ้างต่อภยันตรายและความเสี่ยงภัยต่างๆ ให้ดีขึ้น  เช่น  การประกันชราภาพ   เกษียณอายุ   ทุพพลภาพ   เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน   การว่างงาน  เป็นต้น
(5.6)   หลักล่อใจให้ทำงาน (Incentives) ระบบค่าจ้างที่ดีจะล่อใจให้พนักงานขยันขันแข็งสร้างงานให้บริษัทเจริญ ค่าจ้างมีความหมายโดยตรงต่อการกระตุ้นให้ลูกจ้างทำงานให้บรรลุมาตรฐานและเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้    
(5.7)   หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย (Pay-and-Effort Bargain) หลักล่อใจให้ทำมักจะผูกพันอย่างใกล้ชิดกับการที่ลูกจ้างจะเรียกร้องผลตอบแทนหรือค่าจ้างแลกกับค่าเหนื่อยของเขาที่ลงแรงไป
(5.8)   หลักการยอมรับ (Acceptability) หลักการที่ดีอันสุดท้ายได้แก่หลักการยอมรับการวางแผนและบริหารค่าจ้างในองค์การของโลกเสรีจะต้องให้พนักงานได้มีโอกาสศึกษาและรับรู้ด้วยเขาอาจจะเห็นจุดอ่อนและจุดแข็ง ติชมและวิพากษ์วิจารณ์ แสดงข้อคิดและเสนอแนะเพื่อประมวลความพอใจเข้าด้วยกันและอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เพื่อว่าเขาจะได้ยอมรับและยึดถือปฏิบัติต่อไปหากเมื่อ การยอมรับมีมากขึ้นการต่อต้านที่ค่อยๆ ลดลง

   4.2) วัตถุประสงค์ในการให้ค่าตอบแทน
(1)   เพื่อสรรหาบุคคลเข้าทำงานในองค์การ (To recruit people to the organization) เพราะการกำหนดอัตราค่าจ่าง และเงินเดือนเป็นสิ่งจูงใจให้บุคคลมาสมัครทำงาน ทำให้สามารรถเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมเข้าปฏิบัติงาน
(2)   เพื่อควบคุมต้อนทุนค่าใช้จ่าย (To control payroll costs) การกำหนดอัตราค่าจ้างเป็นไปตามการประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยตารางค่าจ้างและประเภทของงานประกอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือให้ผู้บริหารสามารถควบคุมการจ่ายเงินค่าจ้างและเงินเดือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
(3)   เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน (To satisfy employees) การกำหนดอัตราค่าจ้างเงินเดือนอย่างยุติธรรมเสมอภาพ จะเป็นการสร้างความพึงพอใจในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ก่อให้เกิดขวัญ และกำลังใจในการทำงาน
(4)   เพื่อจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานทำกันอย่างมีประสิทธิภาพ (To motivate employees to superior performance) การกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนที่เหมาะสม จะเป็นการจูงใจให้คนงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่องค์การ

4.3) หลักในการกำหนดค่าตอบแทน
      การประเมินค่างานเป็นกระบวนการสำคัญในการกำหนดค่าตอบแทน ผู้มีหน้าที่กำหนดค่าตอบแทนจะต้องทำการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินค่างาน ตลอดจนนำข้อมูลที่มี่อยู่มาใช้ประกอบการจัดเรียงลำดับงานตามความสำคัญ   โดย ณัฏฐพันธ์  เขจรนันทน์(2547 : 223 - 225)ได้อธิบายว่าเพื่อกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสมและยุติธรรม โดยที่การประเมินค่างาน  สามารถกระทำได้ 2 วิธี ดังต่อไปนี้
           -  การประเมินค่างานเชิงคุณภาพ วิธีการนี้ผู้ทำหน้าที่ประเมินค่างานจะทำการจำแนก เปรียบเทียบ และจัดลำดับงานตามความสำคัญ
           -  การประเมินค่างานเชิงปริมาณ วิธีการนี้ผู้ทำหน้าที่ประเมินค่างานจะทำการวิเคราะห์ความแตกต่างของแต่ละงานในรูปของตัวเลข
      ข้อมูลที่ได้จากการประเมินค่างานถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดค่าตอบแทนของบุคลากรเนื่องจากการประเมินค่างานจะทำการเปรียบเทียบและจัดเรียงงานตามลำดับความสำคัญ โดยผู้ทำหน้าที่กำหนดค่าตอบแทนสามารถนำข้อมูลมาใช้งานได้โดยตรง 

5) สวัสดิการ  
สวัสดิการ หมายถึง  ผลประโยชน์อื่นๆ  ของบุคลากรที่องค์กรจ่ายนอกเหนือจากเงินเดือนและค่าจ้าง  ผลประโยชน์ดังกล่าวอาจจ่ายเป็นเงินสด  สิ่งของ หรือบริการ  เช่น  อาหาร  ค่าพาหนะ  ภาษีเงินได้ที่องค์กรออกให้  เสื้อผ้า  ที่พักอาศัย เป็นต้น
      สวัสดิการเป็นสิ่งที่องค์การหรือนายจ้างเป็นผู้จัดหาให้แก่บุคลากร เช่น ที่อยู่อาศัย ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาล อาหารกลางวัน และวันหยุดพิเศษ เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดหาในสิ่งที่นอกเหนือจากค่าจ้างที่จ่ายให้โดยตรง โดยถือเสมือนเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของนายจ้าง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่องค์การสมควรปฏิบัติ เพื่อธำรงรักษาและจูงใจบุคคลที่มีความสามารถให้ร่วมงานกับองค์การ ปัจจุบันการจัดสวัสดิการในองค์การมีความสำคัญต่อขวัญ กำลังใจ การธำรงรักษาบุคลากร และความทุ่มเทที่บุคลากรมีให้กับองค์การ  (ณัฏฐพันธ์  เขจรนันทน์. 2547 : 238 – 245)  
   5.1) ประเภทของสวัสดิการ จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะดังต่อไปนี้
(1)   สวัสดิการตามกฎหมาย หมายถึง สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการที่องค์การจัดสรรให้กับบุคลากรตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น บริการด้านสุขอนามัย ห้องพยาบาล และห้องสุขา เป็นต้น การจัดสวัสดิการตามข้อกำหนดของกฎหมายมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของบุคลากรในสถานประกอบการ ส่งเสริมสวัสดิภาพและความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของบุคลากร ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากร
(2)   สวัสดิการนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด หมายถึง สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการที่องค์การจัดให้กับบุคลากรด้วยความเต็มใจองค์การ ความร่วมมือระหว่างองค์การและบุคลากร หรือการร้องขอจากบุคลากร โดยสวัสดิการที่ให้จะอยู่นอกเหนือจากข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น รถรับส่ง ที่อยู่อาศัย เงินช่วยเหลือพิเศษ กิจกรรมนันทนาการและกีฬา เป็นต้น
   5.2) หลักการจัดสวัสดิการ
(1)   ตอบสนองความต้องการ เนื่องจากระบบสวัสดิการมีวัตถุประสงค์สำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการด้านต่างๆ ของสมาชิก ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่จัดการด้านสวัสดิการจึงต้องพยายามค้นหา   วางแผนให้สวัสดิการ   ประโยชน์และบริการในส่วนที่บุคลากรต้องการ เพื่อให้เขาสามารถนำสิ่งที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งตนเองและครอบครัวได้อย่างเต็มที่  และก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันกับหน่วยงาน
(2)   การมีส่วนร่วม เนื่องจากบุคลากรจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากระบบสวัสดิการที่องค์การธุรกิจจัดให้ ดังนั้นการจัดสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพสมควรเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดำเนินงาน   เพื่อให้บุคลากรเกิดความเข้าใจ การยอมรับ และได้รับประโยชน์สูงสุด ประการสำคัญ จะทำให้ระบบสวัสดิการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสมาชิกได้อย่างแท้จริง
(3)   ความสามารถในการจ่าย ระบบสวัสดิการของธุรกิจจะมีค่าใช้จ่ายทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมแก่องค์การ  ต้องมีความเหมาะสมกับความสามารถในการลงทุนและการดำเนินงานขององค์การธุรกิจด้วย มิฉะนั้น อาจก่อให้เกิดภาระทางการเงินและการดำเนินงาน ตลอดจนผลกระทบทางด้านความรู้สึกต่อบุคลากรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
(4)   ความยืดหยุ่น ความต้องการที่หลากหลายในสังคมปัจจุบัน ทำให้ระบบสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพต้องถูกจัดขึ้นให้สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกแต่ละคนมากที่สุด ตลอดจนสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ทั้งบุคลากรและองค์การตลอดจนไม่สูญเปล่าในการลงทุน
(5)   ประสิทธิภาพของการทำงาน เนื่องจากสวัสดิการมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างเต็มความสามารถ ดังนั้นการจัดระบบสวัสดิการจึงต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินงาน เช่น ลดภาระทางเศรษฐกิจ ช่วยให้การดำรงชีวิตง่ายขึ้น ส่งเสริมสุขภาพและพลานามัย เป็นต้น ซึ่งจะทำให้บุคลากรไม่ต้องกังวลกับสิ่งแวดล้อม และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความสามารถ
      สวัสดิการ ประโยชน์ และบริการที่องค์การจัดให้กับพนักงานทั้งตามที่กฎหมายกำหนดและจัดขึ้นด้วยความสมัครใจ จะเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้ง ตลอดจนช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์การและพนักงานในการพัฒนากิจการขององค์การให้มั่นคงและก้าวหน้าต่อไป  อย่างไรก็ตามชนิดของสวัสดิการ  มีดังต่อไปนี้
(1)   บริการด้านสุขภาพ (Health Services) 
(2)   บริการด้านความปลอดภัย (Safety Services) 
(3)   บริการด้านความมั่นคง (Security Services) 
(4)   การจ่ายค่าตอบแทนในวันหยุดตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต (Payment for Entitle leave) 
(5)   บริการด้านการศึกษา (Education Services) 
(6)   บริการด้านเศรษฐกิจ (Economic Services) 
(7)   บริการนันทนาการ (Recreational Services)
(8)   บริการให้คำปรึกษา (Counseling Services) 
(9)   โบนัสและเงินสวัสดิการ (Bonuses and Award) 
(10)   บริการอื่นๆ (Other Services) 

   6)  การประเมินผลการปฏิบัติงาน   
การประเมินผลการปฏิบัติงาน หมายถึง  ระบบที่องค์กรจัดทำขึ้นมา  เพื่อหาคุณค่าของบุคลากรในแง่ของการปฏิบัติงาน  อันได้แก่  การกำหนดบุคคลที่ทำหน้าที่ประเมินผลการปฏิบัติงาน  วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน   และวัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน
Dwivedi  R.S.  (1985  :  159) ได้ให้กล่าวเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้ว่า   เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องพิจารณาว่า  ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายได้มีประสิทธิภาพเพียงไร  มีจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงเรื่องใดบ้าง  ตลอดจนศักยภาพเพียงพอที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นหรือไม่   
   การประเมินผลการปฏิบัติงาน  เป็นระบบ  (Systematic  Process)  ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำการวัดคุณค่าของบุคลากรในการปฏิบัติงานภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด  ว่าเหมาะสมกับมาตรฐานที่กำหนดและเหมาะสมกับรายได้ที่บุคลากรได้รับจากองค์การหรือไม่  ตลอดจนใช้ประกอบการพิจารณาศักยภาพของบุคลากรในการปฏิบัติงานในตำแหน่งที่สูงขึ้นไป  และณัฏฐพันธ์  เขจรนันทน์ (2547 : 194-204) ได้กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงานมีดังต่อไปนี้
(1)   ใช้พิจารณาความเหมาะสมในการให้ผลตอบแทนแก่บุคลากร  เช่น  เงินเดือน  ค่าจ้าง  หรือ ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ว่ามีความสอดคล้องกับงานที่บุคลากรปฏิบัติเพียงใด
(2)   ใช้พิจารณาความเหมาะสมในการปฏิบัติงานในตำแหน่งงานของบุคลากร  ว่ามีความเหมาะสมเพียงใด  ต้องมีการปรับปรุง  พัฒนา  ฝึกอบรม  หรือปรับย้ายอย่างไร  เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(3)   ใช้ประกอบการพิจารณาการเปลี่ยนตำแหน่งของบุคลากร  การประเมินผลการปฏิบัติงานจะแสดงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร  ซึ่งถือเป็นปัจจัยในการพิจารณาความดีความชอบของบุคลากร
(4)   ใช้ประกอบการพิจารณาเพื่อการฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร  ผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานจะเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่าบุคลากรสมควรที่จะได้รับการฝึกอบรมและการพัฒนาในรูปแบบใด
(5)   ใช้ประกอบการจดบันทึกข้อมูลส่วนตัวของบุคลากร  ผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานจะถูกบันทึกลงในทะเบียนประวัติของบุคคล  เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้ตรงตามความต้องการ
(6)   ใช้ประกอบในการบริหารงานในด้านต่าง    ๆ เช่น  การสร้างความยุติธรรม  และการแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในองค์การ  เป็นต้น  เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศในการปฏิบัติงานที่ดีและเสริมสร้างศักยภาพโดยรวมขององค์การ
   อนึ่ง  ผลลัพธ์ของการประเมินผลการปฏิบัติงานจะมีผลเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของบุคลากรภายในองค์การ  อันจะส่งผลกระทบถึงขวัญและกำลังใจของบุคลากร  ตลอดจนประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์การในอนาคต  ผู้ที่มีหน้าที่ทำการประเมินผลสมควรต้องมีความเข้าใจในหลักการประเมินผลการปฏิบัติงาน  ดังต่อไปนี้
(1)   ผู้ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานต้องมีความเข้าใจในหลักการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินผล  ว่ามีข้อดี  ข้อเสีย  และขอบเขตอย่างไร  เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประกอบการประเมินผลการปฏิบัติงานแต่ละชนิดได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์
(2)   การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องกระทำอยู่ตลอดเวลาตามความเหมาะสม  เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรมต่อผู้ถูกประเมินทุกคน
(3)   การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นการประเมินค่าของผลการปฏิบัติงาน  มิใช่การประเมินค่าบุคคล  ดังนั้นผู้ทำการประเมินต้องให้ความสนใจกับคุณลักษณะที่สำคัญของแต่ละงานและผลลัพธ์ที่ได้เป็นสำคัญ
(4)   การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหัวหน้างานทุกคน  ตลอดจนบุคคลที่ได้รับมอบหายจากองค์การ
(5)   การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีทั้งความเที่ยงตรง  (Validity)  และมีความเชื่อถือได้ (Reliability)  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้  และมีความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
(6)   การประเมินผลการปฏิบัติงานจะต้องมีการแจ้งผลลัพธ์ของการประเมิน (Feedback)  แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง  เพื่อให้บุคลากรที่ถูกประเมินได้รับทราบถึงผลการปฏิบัติงานของตนในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาว่าเป็นไปตามความต้องการขององค์การหรือไม่  และสมควรต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างไร
   ธัญญา  พลอนันต์ (2546 : 33-35) ได้จำแนกวิธีการวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้ดังต่อไปนี้
   -  กระจายตามหลักสถิติ  (Statistical  Distribution)  
   -  จัดลำดับตามผลการทำงาน  (Ranking)  
   -  ตรวจสอบรายการตามระยะเวลา  (Check  List)  
   -  เทียบกับผลการปฏิบัติงานมาตรฐาน  (Field  Review) 
   -  เทียบกับแผนงานหรือรายงานผลการดำเนินการ  (Work  Report)  
   -  ประเมินโดยกลุ่ม  (Group  Appraisal)  
   -  ประเมินโดยใช้เหตุการณ์สำคัญ  (Critical  Incidents)  
   -  ประเมินตามผลงานเทียบกับเป้าที่ตั้งไว้ล่วงหน้า  (Appraisal  by  Results)  
   -  ประเมินตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ล่วงหน้า  (Appraisal  by  Objectives)  
   -  ประวัติการมาปฏิบัติงาน  (Attendance  Report)  
   -  เปรียบเทียบมาตราส่วน  (Graphic  Rating  Scale)  
   -  แบบผสมหลากหลายประเด็น  (Mixed  Appraisal)
   อย่างไรก็ตามการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้นจะส่งผลดีกับองค์การได้ก็ต่อเมื่อ  มีการนำผลลัพธ์จากการประเมินผลการปฏิบัติงานไปใช้  
   ณัฎฐพันธ์  เขจรนันทน์ (2547 : 209)  ได้อธิบายรูปแบบของการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานไปใช้  ดังต่อไปนี้
(1)   การนำผลไปใช้ตามวัตถุประสงค์  การนำผลที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานไปใช้ในลักษณะนี้  สามารถกระทำได้เป็น  4  รูปแบบ  ดังต่อไปนี้
   -  การกำหนดค่าตอบแทน  
   -  การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง  
   -  การปรับปรุงการปฏิบัติงาน  
   -  การจ้างงาน  
   (2) การแจ้งผลการประเมิน  การแจ้งผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับ  (Feedback)  แก่พนักงาน  เพื่อให้รับทราบว่าตนองปฏิบัติงานอยู่ในระดับใดสมควรที่จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัติงานหรือไม่เพียงใด

7)  การพ้นออกจากงาน  
การพ้นออกจากงาน หมายถึง  ขั้นตอนกระบวนการที่องค์กรจัดทำขึ้นเพื่อ  เตรียมความพร้อมในการเกษียณอายุหรือการต้องออกจากงานที่มิใช้การกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
      ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ  การพ้นออกจากงานของบุคลากร    การที่บุคลากรได้พ้นสภาพการทำงานในองค์การ  เป็นแนวความคิดด้านพฤติกรรมศาสตร์ที่มีการตระหนักถึงความสำคัญของคนมากขึ้น 
      ภิญโญ   สาธร (2517 : 453)  ได้ให้ความหมายของการให้พ้นจากงานไว้ว่า  หมายถึง  การที่พนักงานเจ้าหน้าที่พ้นจากการงานและหมดสิทธิที่จะได้รับเงินเดือนของหน่วยงานตลอดไป  และภิญโญ  สาธร  ได้ระบุสาเหตุสำคัญในการพ้นจากงาน  มีดังต่อไปนี้
-   ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
-   ปัญหาด้านวินัย
-   การให้ออกจากงานเพราะหย่อนสมรรถภาพ
-   การให้ออกจากงานเมื่อคราวให้เกษียณอายุ
-   การให้ออกจากงานเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่กระทำความผิดอย่างหนัก
      ดังนั้นการให้พ้นจากงานของบุคลากรจึงเป็นกระบวนการที่จะทำให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานพ้นจากอำนาจหน้าที่  ความรับผิดชอบจากหน่วยงานที่สังกัดไป   อันมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป  มีทั้งสมัครใจและไม่สมัครใจ  พ้นจากการทำงานชั่วคราวหรือถาวรก็ได้
      แต่อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อองค์กรแล้ว เมื่อบุคคลได้อุทิศเวลาทั้งชีวิตทำงานให้แก่องค์การแล้ว   ยามที่เขาเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้เนื่องจากทุพพลภาพอันเนื่องมาจากการปฏิบัติงานหรือจากเกษียณอายุบุคคลเหล่านั้นควรได้รับการตอบแทนจากองค์การ  เพื่อทำให้ชีวิตบั้นปลายมีความสุข  พะยอม  วงศ์สารศรี (2538 : 252 - 253)  ได้ให้ความหมายของการพ้นจากงานอีกด้านหนึ่งก็คือ  
      การพ้นจากงาน  หมายถึง  การพ้นออกจากสภาพการทำงาน เนื่องจากการลาออก ทุพพลภาพ  และเกษียณอายุ
   ดังนั้นองค์กรและฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องคำนึงถึงบุคคลที่ทำงานกับองค์กรจนครบเกษียณ  หรือจำเป็นต้องออกจากงานด้วยเหตุผลบางประการ  ยกเว้นการกระทำผิดวินัยร้ายแรง  โดยการจัดเตรียมความพร้อมให้บุคลากรสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  เช่น  การให้บำเหน็จ  บำนาญ   ทุนสำรองเลี้ยงชีพ  เงินทดแทน   หรือผลตอบแทนในรูปอื่น
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างแนวทางการพ้นจากงานแก่องค์กร  มีดังนี้
(1)   ภาพพจน์ขององค์กรในสายตาของบุคคลทั่วไปเป็นไปในทางบวก   เพราะสิ่งที่เชื่อมโยงต่อแนวความคิดอื่นๆ  ตามมาอีกมากมาย เช่น  ความศรัทธาองค์กร  การสนใจอุดหนุนผลผลิตขององค์กร
(2)     พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่มีขวัญและกำลังใจ  เพราะได้รับรู้ว่าองค์กรไม่ทอดทิ้ง  พิทักษ์คุ้มครอง  ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานให้แก่องค์กรแล้ว  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดผลในด้านความตั้งใจในการปฏิบัติงานของพนักงานนั้น
(3)   จูงใจให้ผู้ที่มีความสามารถเข้ามาปฏิบัติงานในองค์กร  เพราะมองว่าองค์กรนี้มีความมั่นคงในด้านการจัดสวัสดิการต่างๆ  แก่พนักงาน

เอกสารอ้างอิง
ณัฎฐพันธ์  เขจรนันทน์ . 2547. การจัดการทรัพยากรมนุษย์. กรุงเทพฯ : บริษัท  ซีเอ็ดยูเคชั่น  จำกัด (มหาชน).
ดนัย เทียนพุฒ . 2545 . การหารทรัพยากรบุคคลสู่ศตวรรษที่  21 . พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพฯ : นาโกต้า.
ธงชัย  สันติวงษ์ . 2535 . การบริหารค่าจ้างและเงินเดือน : ทฤษฎีและหลักปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทน.  พิมพ์ครั้งที่ 2 .  กรุงเทพฯ : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช  จำกัด.
ธัญญา  ผลอนันต์ . 2546 . การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล : แนวทางสร้างความพึงพอใจแก่พนักงาน. กรุงเทพฯ : อินโนกราฟฟิกส์.
พะยอม    วงศ์สารศรี .2538 . การบริหารทรัพยากรมนุษย์.  พิมพ์ครั้งที่  5 . กรุงเทพฯ : คณะวิทยาการจัดการ  สถาบันราชภัฏสวนดุสิต.
ภิญโญ   สาธร .2517  . หลักการบริหารงานบุคคล . กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช.
สำนักงาน ก.พ. ม.ป.พ. เอกสารประกอบการฝึกอบรม สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล “หลักสูตรเฉพาะทางสำหรับรองรับการทำงานตามระบบจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนใหม่ (PC Specific)”. กรุงเทพฯ: สำนักงาน ก.พ.
ศิวาพร  มัณฑุกานนท์  และคณะ.  2528. การบริหารงานบุคคล.  กรุงเทพฯ : คณะบริหารธุรกิจ    มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
Dwivedi  R.S.. Management  of  Human  Resources. New  Delhi  :  Oxford  &  IBH  
   Publishing, 1985
Mondy R. Wayne, Robert  M. Noe, and  Shane  R. Premeaux, 1996. Human  Resource  
   Management. New  Jersey : Prentice  Hall, Inc.
Niglo  Felix  A,  1959.  Public  Personnel  Administration. Newyork : Henry  Holtand  
   Company
 
ประพันธ์ เวารัมย์ [101.51.53.xxx] เมื่อ 14/01/2017 13:57
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
รูปประกอบความคิดเห็น :
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
อีเมล์ :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :