บัณฑิตนิติศาสตร์ เรียน Pre-degree สาขาฯเชียงใหม่ จบวัย 20 “เลือกเรียนใกล้บ้าน-คุณภาพเท่าเทียม” |
|
อ้างอิง
อ่าน 533 ครั้ง / ตอบ 1 ครั้ง
|
ประพันธ์ เวารัมย์
|
สองบัณฑิตคณะนิติศาสตร์ภูมิใจจบปริญญาตรี วัย 20 ผลพวงเลือกเรียน Pre-degree ตั้งแต่ ม.ปลาย ทำให้วันนี้ก้าวมาสู่ความสำเร็จ เชื่อมั่นระบบ Pre-degree ได้เรียนใกล้บ้าน ส่วนภูมิภาคสาขาฯเชียงใหม่ ด้วยคุณภาพการศึกษาที่เท่าเทียมและไม่จำกัดอายุ
นางสาวสุจิรา เชื่อมไพบูลย์ บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ เข้าเรียนระบบ Pre-degree สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดเชียงใหม่ ขณะเรียนชั้น ม.4 อายุ 15 ปี เมื่อจบชั้น ม.6 จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ สะสมหน่วยกิตได้ 137 หน่วยกิต และมาเทียบโอนเรียนชั้นปริญญาตรี ใช้เวลาเรียนรวม 3 ปีครึ่ง ปัจจุบันอายุ 20 ปี กำลังศึกษาต่อเนติบัณฑิตยสภา และวางแผนเรียนต่อ ชั้นปริญญาโท
บัณฑิตนิติศาสตร์ กล่าวว่า เลือกเรียนระบบ Pre-degree เพราะเป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่ต้องการอยากเรียนมหาวิทยาลัยล่วงหน้า ได้เรียนควบคู่ทั้งปริญญาตรีและมัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งเป็นตัวอย่างการเรียนปริญญาตรีให้นักเรียนได้รู้ว่าการเรียนปริญญาตรีมีรูปแบบเป็นอย่างไร เหมือนได้ ทดลองสนามก่อนลงแข่งจริง ดิฉันอยากรู้ว่าการเรียน ควบคู่แบบนี้ทำได้จริงหรือไม่ และอยากเรียนจบปริญญาตรีเร็วๆโดยไม่จำเป็นต้องไปสอบแอดมิชชั่น เมื่อจบ ม.ปลาย ทั้งยังเชื่อมั่นว่ารามคำแหงเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง มีหลักสูตรที่มีคุณภาพไม่แพ้มหาวิทยาลัย แห่งอื่นๆอย่างแน่นอน
“ดิฉันสมัครเรียนรามคำแหง ส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงที่เรียน Pre-degree จะไปเข้า ฟังบรรยายจากอาจารย์เป็นประจำ หลังทำการบ้านที่โรงเรียนเสร็จก็จะอ่านหนังสือไปเรื่อยๆพอใกล้สอบ จะฟังบรรยายสรุปออนไลน์ในเว็บของม.ร. เมื่อเรียน จบจึงรู้ว่าสิ่งที่ได้รับ คือเรียนจบก่อนเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน ในขณะเพื่อนๆกำลังแอดมิชชั่น อีกทั้งยังทำให้เป็นคนมีระเบียบในการวางแผนชีวิตและรู้จัก จัดสรรเวลาของตัวเองด้วย”
บัณฑิตสุจิรา กล่าวด้วยว่า วันนี้สำเร็จการศึกษาแล้ว รู้สึกดีใจที่เดินมาถึงจุดนี้ได้ ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เปิดโอกาสให้ดิฉันได้เรียนปริญญาตรีตั้งแต่อายุยังน้อย และให้ทุกคนไม่ว่าจะวัยใดอายุเท่าไรก็ได้เรียนหนังสือขอขอบคุณคณาจารย์ที่ไปสอนที่สาขาวิทยบริการฯ ให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาที่ดี แก่ลูกศิษย์เสมอมา ดิฉันภูมิใจที่ได้เป็นลูกพ่อขุนฯ คนหนึ่งและพร้อมที่จะนำความรู้ออกไปทำงานรับใช้สังคม
“ตลอดการเรียนที่รามฯ ดิฉันคิดว่า “เหนื่อย ก็พัก แต่ไม่ท้อ” เป็นหลักคิดที่ดูธรรมดาๆไม่หวือหวา แต่มันคอยเตือนใจและผลักดันให้เรียนจบมาได้ ฝาก ข้อคิดว่าการเรียนไม่จำกัดอายุ ตราบใดที่เราอยากใฝ่หา ความรู้และไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะเด็กหรืออายุเท่าใดก็สามารถ ค้นคว้าหาความรู้ได้เสมอที่สำคัญ อย่าย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทุกๆอุปสรรคจะเข้ามาเพื่อให้เราเติบโตยิ่งๆขึ้น”
นายบุรัสกร ปินตาวะนา บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ เข้าเรียนระบบ Pre-degree สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดเชียงใหม่ ขณะเรียนชั้น ปวช.ปี 1อายุ 15 ปี เมื่อจบการศึกษาชั้น ปวช. จากวิทยาลัย เทคนิคลำพูน ช่างอิเล็กทรอนิกส์ สะสมหน่วยกิตได้ 54 หน่วยกิต มาเทียบโอนและใช้เวลาเรียนอีก 1 ปี 1 เทอม สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี อายุ 20 ปี
ปัจจุบันเป็นนิติกร บริษัท ผึ้งน้อยเบเกอรี่ จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ครอบคลุมทั่วประเทศ กำลังศึกษาต่อเนติบัณฑิตยสภา สามารถสอบผ่านตั๋วทนายความ ภาคทฤษฎี รุ่น 41 กำลังศึกษาภาคปฏิบัติของตั๋วทนายความ เพื่อเตรียมตัวสอบในกลางปี 2557 และตั้งใจจะเรียนต่อ ระดับปริญญาโท ที่สาขาวิทยบริการฯจังหวัดเชียงใหม่ ม.รามคำแหง ด้วย
บัณฑิตบุรัสกร กล่าวถึงการเข้ามาเรียน Pre-degree ว่า คุณพ่อเป็นศิษย์เก่าคณะเศรษฐศาสตร์ และติดตาม ข่าวสารของรามคำแหงมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่ามีการ เปิดรับสมัครระบบ Pre-degree และเป็นช่วงที่ผมกำลัง จะจบชั้น ม.3 คุณพ่อจึงพาไปสมัครที่สาขาวิทยบริการฯ เชียงใหม่ในปี 2551 ในตอนนั้นผมเองยังไม่รู้จักระบบ Pre-degree เท่าไรนัก แต่พอดูรายละเอียดของระบบ Pre-degree แล้วน่าสนใจ ก็เลยตัดสินใจสมัครเรียนใน คณะนิติศาสตร์
“ช่วงที่ผมกำลังศึกษาอยู่ ผมใช้เวลาว่างวันเสาร์ -อาทิตย์ ไปฟังคำบรรยายที่สาขาวิทยบริการฯ ทุกวิชาที่เกี่ยวกับกฎหมาย เพราะผมคิดว่าความรู้รอเราอยู่ ข้างหน้าแล้ว ต้องรีบไปคว้าไว้จะได้ไม่เสียโอกาสที่จะได้ความรู้จากอาจารย์ผู้มาบรรยาย อีกทั้งอาจารย์ที่มาให้ความรู้ในแต่ละเทอมมีหลายท่าน แต่ละท่านจะมีมุมมอง ข้อคิดและลักษณะการสอนที่แตกต่างกัน ผมก็เก็บเกี่ยวเอามุมมองและข้อคิดของอาจารย์แต่ละท่านมาปรับใช้กับการศึกษาทางด้านกฎหมายของตนเอง
ผมได้รวมกลุ่มกับพี่ๆ เพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน เพื่อ ติวหนังสือและคอยช่วยเหลือกันในทุกด้าน โดยจะติว หนังสือกันในช่วงที่อาจารย์สอนเสร็จหรือบางครั้งก็จะ นัดกันมาติวหนังสือที่ห้องสมุด เพราะผมคิดว่าการรวมกลุ่มเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่ง และแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่าง สามารถนำประสบการณ์ที่ เคยพบเจอมาเล่าให้กันฟัง ที่สำคัญคือพี่ เจ้าหน้าที่ในสาขาฯจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพี่ป่าน พี่เจี๊ยบ พี่อ้อย พี่เด่น พี่บอย พี่กุ้ง หรือป้านงค์ ก็จะคอยให้ คำแนะนำและให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ”
บัณฑิตคนเก่ง กล่าวต่อไปว่า ระบบ Pre-degree เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้กับเด็กไทยได้ค้นหาตนเองว่า ชอบเรียนอะไร ให้มีความพร้อมก่อนเข้าสู่การเรียนระดับ ปริญญาตรี สอนให้รู้จักการวางแผน และทำให้มองเห็น เป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งที่ได้รับจากการเรียน Pre-degree คือ สำเร็จการศึกษาก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพราะระบบ Pre-degree จะเริ่มเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี ซึ่งเด็กวัย 15 ปี ส่วนมาก จะใช้เวลาว่างในการทำงานอดิเรกและสังสรรค์กับ เพื่อนๆมากกว่า ตัวผมเองก็ไปเล่นกีฬา ทำงานอดิเรกกับเพื่อนอยู่ตลอด แต่จะใช้เวลาที่ว่างในแต่ละวัน ทุ่มเท ให้กับการเรียนที่รามคำแหงด้วย
“ผมเคยรู้สึกท้อในช่วงแรก เพราะต้องเรียนทั้ง 2 แห่ง ตั้งแต่วันจันทร์-อาทิตย์ ผมเองก็ได้แต่คิดว่า อดทน เหนื่อยตอนนี้ ในอนาคตก็จะสบาย เมื่อเราได้รับโอกาสนั้นแล้วจะต้องทำให้ดีที่สุด ยังมีอีกหลายคนที่อยากได้รับโอกาสเช่นนี้ แต่ไม่มีโอกาส ผมจะต้องทำให้ สำเร็จให้ได้ ผมเป็นลูกคนโต อยากเรียนให้จบเร็วๆ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว และในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ ผมเห็นรอยยิ้มของพ่อแม่ที่ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้แล้ว ผมดีใจและมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคและปัญหาต่อไป
สำหรับข้อคิดที่ยึดปฏิบัติมาโดยตลอดก็คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ผมเชื่อว่าหากทุกคนได้ลงมือทำแล้วไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตามถ้าไม่ละทิ้งความพยายาม ก็จะต้องสำเร็จสักวัน และ “หากโลกนี้ไม่มีอุปสรรค มนุษย์ก็จะไม่รู้จักความพยายาม” อุปสรรคมีข้างหน้าอยู่ที่เราจะจัดการกับอุปสรรคนั้นอย่างไรในการเรียนระบบ Pre - degree นั้นมีอุปสรรคบ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการปรับตัว เข้ากับระบบการเรียน การจัดสรรเวลาว่างเพื่อศึกษา ข้อกฎหมาย และคำพูดต่างๆที่มีทั้งให้กำลังใจและดูถูก ผมก็จะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นกำลังใจและเป็นแรงฮึดสู้จนทำให้ประสบความสำเร็จได้”
บัณฑิตนิติศาสตร์ กล่าวด้วยว่า รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่จบเป็นลูกพ่อขุนฯรามคำแหงสอนให้ผม เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นรู้จักเห็นใจคนอื่นๆ และทำให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ผมไม่เสียดายเวลาที่ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับรามคำแหง รุ่นพี่ที่รามคำแหงทุกคนก็คอยช่วยเหลือรุ่นน้องเหมือนที่ใครๆบอกว่า “รุ่นพี่รามคำแหงไม่ทอดทิ้งรุ่นน้อง” และรามคำแหงเป็นมหาวิทยาลัยชีวิตจริงๆ ให้ประสบการณ์ทุกอย่างที่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ทำให้บัณฑิตที่จบการศึกษาจากรามคำแหงทุกคนล้วนมีภูมิคุ้มกัน พร้อมที่จะก้าวออกจากรั้วรามคำแหงอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเจอกับปัญหา และอุปสรรคทุกอย่างที่รออยู่ข้างหน้า
“ผมขอฝากข้อคิดให้กับลูกพ่อขุนฯที่กำลังศึกษาอยู่และกำลังตัดสินใจจะมาเป็นลูกพ่อขุนฯว่า ชีวิตทุกคนย่อมมีอุปสรรค ขอให้ทุกคนสู้และอย่าท้อต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาทดสอบตัวเรา บางครั้งเราอาจจะรู้สึกท้อแต่อย่าถอย ความขยันความอดทน และความเพียร พยายามเท่านั้นที่จะทำให้เราสำเร็จดังที่ใจหวังได้ รามคำแหงคือมหาวิทยาลัยชีวิต ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเราเป็นประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้ ทำให้เรามองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนและเป้าหมายมีไว้สำหรับพุ่งเข้าชน ขอให้ทุกคนเก็บเกี่ยวไว้แล้วนำไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ทำ ความฝันของตนเองให้เป็นจริงและเชื่อว่าทุกคนต้องทำได้ “อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน”
|
|
ประพันธ์ เวารัมย์ [101.51.54.xxx] เมื่อ 14/01/2017 13:57
|